29thMarch

29thMarch

29thMarch

 

December 30,2021

ศาลปกครองโคราชพิพากษายกฟ้องคดีเหมืองโปแตชชัยภูมิ ชาวบำเหน็จณรงค์ยันสู้ต่อ ไม่ยอมให้มีเหมืองแร่ในพื้นที่


๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ศาลปกครองนครราชสีมา นัดชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด บำเหน็จณรงค์ ฟังคำพิพากษา หลังชาวบ้านยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองจากการที่หน่วยงานรัฐมีการออกคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายให้แก่บริษัทเหมืองแร่ ในปี พ.ศ.๒๕๖๐

โดยในการยื่นฟ้องคดีนี้ศาลได้รับคำฟ้องไว้ ๓ กรณี คือ ๑. ขอให้เพิกถอนใบอนุญาตให้ใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำลำคันฉู ๒. ขอให้เพิกถอนรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับสมบูรณ์ ที่ได้รับมติเห็นชอบในปี ๒๕๕๗ และ ๓. ขอให้เพิกถอนรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ปี ๒๕๕๙

การยื่นฟ้องคดีครั้งนี้มีผู้ถูกฟ้องคดี ๓ หน่วยงาน คือ กรมชลประทาน ผู้ออกใบอนุญาตใช้น้ำ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และ คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ผู้ให้ความเห็นชอบรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งสองฉบับ และศาลได้มีการเรียก บริษัท อาเซียนโปแตช จำกัด มาเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ด้วย

ในการฟ้องคดี ชาวบ้านได้พยายามชี้ให้เห็นถึงความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องการออกใบอนุญาตใช้น้ำที่บริษัทนำมากล่าวอ้าง ทั้งที่น้ำในพื้นที่ก็ไม่ได้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และภาคการเกษตร เมื่อชาวบ้านต้องการใช้น้ำต้องรวมตัวกันไปขอที่อ่างเก็บน้ำลำคันฉู และต้องรอเวลาประมาณหนึ่งเดือนน้ำจึงจะเดินทางมาถึงพื้นที่การเกษตร แต่เหมืองแร่กลับได้รับอนุญาตให้ต่อท่อตรงสู่เหมืองได้ทันที

ส่วนการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น ชาวบ้านไม่ได้รู้ข้อมูลด้วย ไม่ทราบว่าจะมีเหมืองแร่ในพื้นที่ มารู้หลังจากที่เหมืองได้ประทานบัตรไปแล้วและมีโครงการพ่วงโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเมื่อศึกษาข้อมูลจึงพบว่า ในการจัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็นสองครั้ง มีผู้เข้าร่วมน้อยมาก ประมาณ ๓๐๐ คนเท่านั้น ซึ่งเทียบกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นย่อมเป็นการจัดที่ไม่เพียงพอ มีสัดส่วนผู้เข้าร่วมน้อย นอกจากนี้ในการจัดทำรายงานยังมีการใส่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหลายเรื่อง เช่น การนำบึงทะเลสีดอ (แหล่งน้ำสาธารณะในพื้นที่) ไปใส่ในรายงานทั้งที่ไม่เคยขออนุญาตใช้มาก่อน และที่สำคัญคือ การจงใจไม่ระบุในโครงการตั้งแต่ต้นว่าจะมีการพ่วงโรงไฟฟ้าถ่านหินมาในโครงการด้วย ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในกระบวนการแต่งแร่แต่กลับไม่ระบุถึงโดยอ้างว่ายังตัดสินใจไม่ได้ นอกจากนี้ในรายงานฉบับแก้ไขเพิ่มเติมของโครงการเหมืองแร่ ยังนำข้อมูลการจัดเวทีของโครงการโรงไฟฟ้าเข้าไปอ้างในรายงานด้วย

หลังจากตอบโต้กันมาเป็นระยะเวลาสี่ปี วันนี้ศาลปกครองนครราชสีมาได้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยมีสาระสำคัญดังนี้

๑.กรณีใบอนุญาตใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำลำคันฉู มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ ชาวบ้านมีสิทธิในการฟ้องคดีหรือไม่ และ การออกใบอนุญาตใช้น้ำของกรมชลประทานชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

๒.การมีมติเห็นชอบรายงาน EIA ทั้งสองฉบับ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่


ประเด็นที่ ๑ ศาลเห็นว่าชาวบ้านมีสิทธิในการฟ้องคดี เพราะเป็นผู้ใช้น้ำที่อาจได้รับผลกระทบจากการอนุญาตให้ใช้น้ำดังกล่าว และ กรมชลประทานได้ออกหนังสืออนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจากหนังสืออนุญาตนั้นออกตามมติ ครม. และเป็นเพียงการแจ้งสิทธิต่อผู้ประกอบการว่ามีสิทธิในการใช้น้ำ แต่จะได้รับอนุญาตก็ต่อเมื่อมีการยื่นเอกสารตามแบบ ผย.๓๓ ให้ครบถ้วนเสียก่อน เมื่อไม่มีการยื่นจึงไม่ถือว่ามีการอนุญาตแต่อย่างใด

ประเด็นที่ ๒ ศาลเห็นว่าทางบริษัทได้มีการทำตามกระบวนการขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว โดยบริษัทที่จัดทำ EIA ก็เป็นบริษัทที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน  ส่วนการนำข้อมูลในเวทีโครงการโรงไฟฟ้ามาใส่ในรายงานฯ EIA เหมืองแร่นั้น ศาลเห็นว่า โรงไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของเหมือง ข้อมูลจากทั้งสองเวทีย่อมเป็นสิทธิของผู้ประกอบการ การนำมาใส่ในอีกโครงการย่อมไม่ถือว่าเป็นข้อมูลเท็จ  ศาลจึงเห็นควรให้ยกฟ้อง

จากคำพิพากษาของศาลตัวแทนชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด บำเหน็จณรงค์ หลายคนรู้สึกผิดหวัง และเสียใจต่อคำพิพากษาดังกล่าว หลายคนตั้งคำถามถึงกระบวนการขั้นตอนที่มีการทำครบถ้วน แต่คุณภาพของการจัดทำจะถูกนำมาพิจารณาด้วยหรือไม่  ชาวบ้านในพื้นที่เห็นว่ากระบวนการเหล่านี้ไม่เพียงพอ ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ได้ร่วมตัดสินใจ กฎหมายไม่เคยให้โอกาสชาวบ้านในพื้นที่ตัดสินใจ แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อตัวกฎหมายมีปัญหา

แต่อย่างไรก็ตาม ตัวแทนชาวบ้านที่มาในวันนี้ ยังคงยืนยันที่จะสู้คดีต่อ โดยจะมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดอย่างแน่นอน และจะเดินหน้าคัดค้านในพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เหมืองแร่และโรงไฟฟ้าเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ เพราะไม่อยากให้ลูกหลานต้องทนทุกข์กับผลกระทบที่เกิดขึ้น


991 1595