2ndMay

2ndMay

2ndMay

 

January 01,1970

๓ ทายาทแค่ขอทวงสิทธิ์ ลูก‘อ.มุข วงษ์ชวลิตกุล’ ไม่โกรธและยังรักเคารพแม่

 

 

หลังจาก “อาจารย์มุข” ประมุขแห่งสถานศึกษาเอกชนชื่อดัง ๓ แห่ง ในโคราชเสียชีวิต พบในพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ลูกคนเดียว และตัดขาดทายาท ๓ คน แถลงข่าวขอความเป็นธรรม ลูกเป็นเสา ๔ ต้นค้ำจุนบ้าน ไม่มีทางตัดขาด อ้างพบพิรุธลายเซ็นในพินัยกรรม เชื่อมีคนนอกเกี่ยวข้อง ด้าน “อ.ปราณี” แถลงโต้ ไม่เคยดูแล มีแต่มาแลดู ยืนยัน อ.มุขไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์แค่ลืม จำลูก ๓ คนไม่ได้ พร้อมแฉลูกถูกปลวกกัดกิน ด้าน ๓ ทายาทยืนยันไม่โกรธแม่ ยังรักเคารพเหมือนเดิม แค่มาทวงสิทธิ์ในส่วนของพ่อ 

ภายหลังจากที่นายมุข วงษ์ชวลิตกุล หรือ “อาจารย์มุข” คหบดีโคราช เจ้าของสถานศึกษาเอกชน ๓ แห่ง ในจังหวัดนครราชสีมา ได้แก่ โรงเรียนเกียรติคุณวิทยา (กว.), วิทยาลัยเทคโนโลยีช่างกลพณิชยการนครราชสีมา (ช.พ.น.) และมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล (ม.ว.) ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ ขณะอายุ ๙๑ ปี โดยมีพิธีบำเพ็ญกุศลศพ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ และมีพิธีฌาปนกิจในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ วัดสุทธจินดาวรวิหาร เมืองนครราชสีมา กระทั่งมีข่าวว่า มีการเปิดพินัยกรรมของอาจารย์มุขเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า อาจารย์มุขมีคู่สมรสคือนางปราณี วงษ์ชวลิตกุล และมีลูกชายด้วยกัน ๔ คน ได้แก่ นายณัฐวัฒม์, นายสมรัฐ, นายกิตติ และนายจักริน วงษ์ชวลิตกุล นั้น

 

นายมุข วงษ์ชวลิตกูล หรือ “อาจารย์มุข”

• ๓ ทายาทแถลงขอความเป็นธรรม
ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เวลา ๑๓.๒๐ น. ณ โรงแรมซิตี้พาร์ค เมืองนครราชสีมา มีการเปิดแถลงข่าวของลูกชาย ๓ คนของอาจารย์มุข ได้แก่ นายสมรัฐ, นายกิตติ และนายจักริน วงษ์ชวลิตกุล พร้อมด้วยทีมทนายความคือ นายปรีชา โคตะระ, นายปรมินทร์ จิรวัชรเดช, นายกัมพล จรูญลัดดากุล, และนายธีรยุทธ หาญกุดเลาะ ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน 

โดยนายปรมินทร์ จิรวัชรเดช ทนายความ กล่าวว่า เนื่องจากทายาทมีความประสงค์จะขอความเป็นธรรมเพื่อให้ประชาชนและสื่อมวลชนได้รับทราบข่าวสาร ซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกตในพฤติการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในส่วนแรกเป็นการแถลงข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยทายาทตระกูลวงษ์ชวลิตกุล เมื่อแถลงเสร็จจึงจะเปิดโอกาสให้ซักถามเพิ่มเติม 

 

 

๓ ทายาทและทนายความร่วมแถลงข่าวขอความเป็นธรรม

 

• ลูกคือเสา ๔ ต้นค้ำจุนบ้าน
จากนั้นนายสมรัฐ วงษ์ชวลิตกุล ซึ่งเป็นบุตรคนที่ ๒ กล่าวแนะนำตัวเองพร้อมน้องชายอีก ๒ คนคือ นายกิตติ และนายจักริน วงษ์ชวลิตกุล โดยกล่าวว่า ขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชนและพี่น้องชาวโคราช คุณพ่อคือนายมุข วงษ์ชวลิตกุล ได้ก่อตั้งสถาบันขึ้นมา ๓ แห่งที่มีชื่อเสียงในโคราช คือ โรงเรียนเกียรติคุณวิทยา, วิทยาลัยเทคโนโลยีช่างกลพณิชยการนครราชสีมา และมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล คุณพ่อก่อตั้งมาจากที่ไม่มีอะไรเลยด้วยความยากลำบาก โดยอุปนิสัยคุณพ่อเป็นคนรักครอบครัวมาก และปฏิบัติกับทุกคนเสมอเท่าเทียมกันตลอด มีเรื่องอะไรในครอบครัวคุณพ่อจะเรียกคุยเสมอ และจะพูดเสมอว่าที่คุณพ่อยอมลำบากก็เพราะลูกๆ ๔ คน ลูกชาย ๔ คนเปรียบเสมือนเสา ๔ ต้นที่ค้ำจุนบ้าน

 

นายสมรัฐ วงษ์ชวลิตกุล บุตรคนที่ ๒

• เปิดพินัยกรรมมอบมรดกให้ลูกคนเดียว
“ด้วยเหตุนี้ในวันนี้จึงมาขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชน เนื่องจากคุณพ่อถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ และมีการเปิดพินัยกรรมซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๔ ระบุว่า คุณพ่อได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับบุตรเพียงคนเดียว ซึ่งผิดกับนิสัยของคุณพ่อมากๆ เพราะลูกเปรียบเสมือนเสา ๔ ต้น เป็นไปไม่ได้ที่คุณพ่อจะลงทุนไปที่เสาต้นเดียว ซึ่งข้อพิรุธและสงสัยมีขึ้นช่วงปลายปี ๒๕๖๓ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่าคุณพ่อป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนคนปกติทั่วไป เช่น เดินไม่ได้ต้องนั่งวีลแชร์ อาบน้ำเองไม่ได้ แปรงฟันเองไม่ได้ ทานข้าวก็ต้องมีคนป้อน รวมถึงสติสัมปชัญญะก็ไม่มีถึงขั้นจำลูกของตัวเองไม่ได้ ผลการตรวจรักษาของคุณพ่อในช่วงนั้นพบว่า มีทายาทท่านหนึ่งไปขอใบรับรองแพทย์ไว้ ซึ่งแพทย์ระบุไว้ว่า เป็นโรคสมองเสื่อมไม่สามารถทำธุรกรรมหรือนิติกรรมใดได้ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะมีการทำพินัยกรรม นอกจากนี้ยังมีการร้องขอให้แพทย์ออกใบรับรองแพทย์ในทำนองเดียวกันอีกหลายครั้ง โดยครั้งที่สองแพทย์ระบุว่าสูญเสียสมรรถภาพทางสมอง ทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้ ออกให้เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ และครั้งที่สามถัดมาแพทย์ระบุการวินิจฉัยไว้ว่า เป็นโรคอัลไซเมอร์ไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้ ออกให้เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ อย่างที่ทราบอยู่แล้วว่า โรคอัลไซเมอร์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งทั้งนี้อ้างตามคำให้การของแพทย์และประวัติการรักษาของคุณพ่อ” นายสมรัฐ กล่าว

• พบหลักฐานถอนเงินกองทุน ๑๓๔ ล.
นายสมรัฐ กล่าวอีกว่า ต่อมาในช่วงปลายปี ๒๕๖๕ ถึงต้นปี ๒๕๖๖ มีการทำนิติกรรมที่มีข้อสงสัยหลายอย่าง เช่น การถอนเงินกองทุนของคุณพ่อจนหมด นี่เป็นเฉพาะที่พวกเราสามารถตรวจสอบได้ในเบื้องต้น เป็นจำนวนเงินทั้งหมด ๑๓๔ ล้านบาท โดยทยอยถอนครั้งละ ๓๐-๔๐ ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง ๓-๖ เดือน ทั้งที่บัญชีดังกล่าวคุณพ่อถือครองไว้เพื่อประสงค์จะลงทุนระยะยาวเป็นเวลาหลายปีแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเงินหายไปไหน นอกจากนี้ยังมีการโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินของคุณพ่อจำนวนหลายแปลงรวมกว่า ๓๐๐ ไร่ มูลค่ารวมกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยใช้วิธีการปั๊มลายนิ้วมือของคุณพ่อ เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินที่กรมที่ดิน และในช่วงเวลาเดียวกันก็ยังมีการมอบอำนาจเรื่องต่างๆ มากมายที่เป็นการลงนามลายเซ็น นอกจากนี้ยังมีการโอนสิทธิบัตรผู้ได้รับอนุญาตโรงเรียนคือมีการเปลี่ยนเจ้าของโรงเรียนเป็นบุคคลอื่นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพวกเราในฐานะทายาทเห็นว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการฉวยโอกาสในขณะที่คุณพ่อป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งมีผลต่อการรับรู้และการตัดสินใจ 

นายกิตติ วงษ์ชวลิตกุล (อดีตอธิการบดี ม.วงษ์ฯ) บุตรคนที่ ๓

• สงสัยลายเซ็นในพินัยกรรม
นายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ กล่าวว่า เนื่องจากมีคดีฟ้องร้องกันภายในครอบครัวและมีประเด็นเรื่องความสามารถ  ศาลได้โปรดเดินเผชิญสืบเพื่อทำคำพิพากษาวินิจฉัย โดยศาลวินิจฉัยยกฟ้อง เนื่องด้วยเชื่อว่า เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๖๓ มีอาการป่วย ซึ่งรายละเอียดทางเราไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลมากไปกว่านี้ ซึ่งตามคำพิพากษาที่ได้แสดงระบุว่าป่วยด้วยความชรา มีอาการความจำเก่าคงเดิม ความจำใหม่ลดลง สับสนสถานที่ แต่ยังสื่อสารและบอกความต้องการของตัวเองได้ 

จากนั้นนายกิตติ วงษ์ชวลิตกุล (อดีตอธิการบดี ม.วงษ์ฯ) บุตรคนที่ ๓ กล่าวว่า ข้อพิรุธในพินัยกรรมจะมีเรื่องของลายเซ็นของคุณพ่อ และลายเซ็นของพยาน ซึ่งพยานในพินัยกรรมมีข้อสังเกตคือคุณพ่อรู้จักกับคนที่เป็นพยานในพินัยกรรมหรือเปล่า ทั้งสองคนนี้ โดยเมื่อก่อนผมก็ไปไหนมาไหนกับคุณพ่ออยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมที่ธนาคารหรือไปประชุมกับองค์กรต่างๆ ที่คุณพ่อเป็นกรรมการ ผมไปกับคุณพ่อเสมอๆ เป็นเวลานานหลายปี ผมไม่เคยรู้จักพยานทั้งสองคนนี้ และคุณพ่อก็ไม่น่าจะรู้จักแน่นอน

อย่างไรก็ตามข้อพิรุธตรงนี้เราเพียงตั้งข้อสังเกตไว้เฉยๆ ไม่ได้กล่าวโทษใคร อีกอย่างหนึ่งคือพยานที่เซ็นลายเซ็นกับลายเซ็นคุณพ่อนั้น การที่จะไปเซ็นพินัยกรรมได้ คุณพ่อต้องไปทำที่อำเภอ ซึ่งคุณพ่อมีอาการป่วยต้องนั่งวีลแชร์ แล้วใครเป็นคนพาไป รถที่ใช้ก็เป็นรถสั่งทำพิเศษ ต้องขนวีลแชร์ขึ้นไป และต้องเป็นคนในครอบครัวเท่านั้นจึงจะใช้รถคันนี้ได้ ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ อีกอย่างหนึ่งคือในพินัยกรรม ถ้าคุณพ่อแข็งแรงหรือไม่ป่วยจริง ทำไมคุณพ่อไม่เขียนเอง ทำไมต้องให้คนอื่นเขียนให้ นี่เป็นข้อสังเกตอย่างหนึ่ง และที่เขียนนั้นคุณพ่อเป็นผู้มีความสามารถ เป็นผู้รอบคอบรอบรู้ เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตถึง ๓ สถาบัน เขียนประโยคสั้นๆ หรือข้อความสั้นๆ ในพินัยกรรม ทำไมไม่เขียนเอง ทำไมต้องให้คนอื่นเขียนให้ สิ่งเหล่านี้คือการตั้งข้อสังเกตของพวกเรา 

พินัยกรรมที่ ๓ ทายาทนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนในวันที่มีการแถลงข่าว

 

• พูดเพื่อคุณพ่อและความถูกต้อง
“ที่พวกเรามาพูดในวันนี้เพื่อคุณพ่อ เพื่อความถูกต้อง นำสิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของคุณพ่อมาเพื่อให้ทุกคนในสถาบันมีความภาคภูมิใจและเป็นศักดิ์ศรีของคุณพ่อ ซึ่งพวกเราเป็นลูกของคุณพ่อเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้คือข้อสังเกตในพินัยกรรม จริงๆ มีข้อสังเกตอื่นๆ อีก” นายกิตติ กล่าว 

• ถูกปิดกั้นห้ามเข้าเยี่ยม
นายจักริน วงษ์ชวลิตกุล บุตรคนสุดท้อง กล่าวว่า มีข้อสงสัยคือ ก่อนเปิดพินัยกรรมมีบุคคลภายนอกซึ่งพวกผมไม่รู้จัก ส่งข้อความมาทางไลน์ของญาติว่า “จะคุยมั้ย นายฝากมาถาม” ซึ่งขณะนั้นอาจารย์มุขเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ โดยส่งข้อความมาเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๖ จึงสงสัยว่านายคนนั้นคือใคร ทำไมรู้ว่าจะมีการเปิดพินัยกรรม ซึ่งพินัยกรรมเปิดเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗ จึงเป็นที่สงสัยว่าเขาเป็นใคร ได้อำนาจมาจากไหน ทราบรายละเอียดในพินัยกรรมก่อนเปิดได้อย่างไร ทั้งที่พินัยกรรมดังกล่าวเป็นเอกสารลับ และที่พวกผมเสียใจมากที่สุดก็คือช่วงที่คุณพ่อป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตท่าน พวกผมทั้งสามคนก็ถูกปิดกั้นห้ามเข้าเยี่ยม มีการล็อกประตูไม่ให้เข้าไปดูแล ไม่ให้เข้าไปเยี่ยมห้ามเข้าบ้าน พวกผมได้พบคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายก็ตอนที่ท่านไม่มีสติรับรู้และสิ้นลมหายใจแล้ว ช่วงที่มีการปิดกั้นนั้น พวกผมได้ซื้ออาหารที่คุณพ่อชอบทานไปให้ท่านแต่ก็เอาเข้าไปให้ไม่ได้ เพราะมีการล็อกประตู แต่ได้เจอแม่บ้านที่ทำงานอยู่ที่บ้านคุณพ่อ ผมถามว่าขอเข้าไปหน่อยได้มั้ย เขาบอกว่าเข้าไม่ได้ ถ้ามีอะไรก็ฝากไปทางเขาเดี๋ยวเขาเอาเข้าไปให้เอง จึงฝากไปกับแม่บ้าน สิ่งที่เสียใจที่สุดคือ ผมเป็นลูกแต่ทำไมถูกปิดกั้นไม่ให้เจอคุณพ่อ 

 

นายจักริน วงษ์ชวลิตกุล บุตรคนสุดท้อง

• ๓ คนถูกตัดออกจากทายาท
เมื่อทายาททั้ง ๓ คนแถลงจบได้เปิดให้สื่อมวลชนซักถาม โดยมีการถามถึงจุดประสงค์ในการแถลงข่าววันนี้ ซี่งนายกิตติ กล่าวว่า เราอยากให้ทุกคนในสังคมได้รับรู้ว่า ที่มีการตัดทายาทออกไป ตัดออกเพราะอะไร เราอยากเผยแพร่ความเป็นจริงให้สังคมได้รับรู้ มีหนังสือตัดพวกเรา ๓ คนออกจากการเป็นทายาทของอาจารย์มุข วงษ์ชวลิตกุล มีกระแสที่มีคนเอาไปบอกกล่าวว่าเราโดนตัดการเป็นทายาท ซึ่งมีการเขียนว่าถูกตัดไปตามกฎหมายตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ เราไม่ต้องการให้เกิดความด่างพร้อยในตระกูลวงษ์ชวลิตกุล นั่นแหละคือสิ่งที่พวกผมต้องการ และเพื่อป้องกันความเสียหายในธุรกิจที่คุณพ่อได้สร้างมา ถ้าพวกเราไม่ออกมาในวันนี้ สิ่งที่คุณพ่อสร้างมา ผมคิดว่าจะเสียหายมากกว่านี้ 

• จัดพิธีศพเรียบง่าย
ทั้งนี้ มีสื่อมวลชนถามถึงการเสียชีวิตของอาจารย์มุข ซึ่งนายสมรัฐกล่าวว่า พวกผมไม่ได้อยู่กับท่าน เพราะถูกปิดกั้น ไปเจออีกทีตอนที่ท่านนอนอยู่ห้องไอซียูในโรงพยาบาล ท่านรู้สึกตัว ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตนั้นหมอ บอกว่า มีอาการติดเชื้อที่ปอด ส่วนประเด็นที่ว่าอาจารย์มุขมีเชื้อสายจีน ก่อนเสียชีวิตบอกว่าให้นำศพไปฝังแต่ทำไมจึงเผา และสร้างคุณูปการด้านการศึกษาแต่ทำไมจึงไม่จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ นายกิตติกล่าวว่า “เรื่องนี้ผมตอบไม่ได้เต็มปาก ได้ยินมาอีกทีหนึ่งว่าคุณแม่อยากให้จัดงานเรียบง่ายที่สุด เลยไม่ได้ขอพระราชทานเพลิงศพ”

 

สื่อมวลชนรายหนึ่งถามว่า บุคคลที่สามรู้การทำพินัยกรรมได้อย่างไร และยังส่งข้อความทางไลน์มาหาทายาททั้งสามว่ายินยอมหรือเรียกไปคุย ในเรื่องนี้ทายาททั้งสามสงสัยหรือไม่ นายสมรัฐ กล่าวว่า “มีความสงสัย เหมือนได้รับมอบหมายมา และเหมือนรู้ว่าใครเป็นผู้จัดการผมก็ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไร เพราะผมก็ยังไม่รู้ แม้แต่ญาติที่คุยกับเขาในไลน์ก็งงว่าให้เขามาคุยทำไม ทำไมไม่ติดต่อเราสามคนเอง ไปคุยผ่านญาติแล้วส่งต่อๆ กันมา มีข้อสงสัยหลายอย่าง”

ส่วนกรณีที่บอกว่าเงินถูกตถอนออกจากบัญชีกองทุน ๑๓๔ ล้านบาท มีการไปตรวจสอบจากสถาบันการเงินหรือไม่ว่าบุคคลใดเข้าไปไถ่ถอนแล้วเงินดังกล่าวไปเข้าบัญชีใคร นายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ ตอบว่า เรื่องการเบิกถอนเงิน มีการพาดพิงถึงบุคคลที่ ๓ ซึ่งเรากำลังอยู่ระหว่างการใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งค่อนข้างเป็นที่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำไปเบิกถอน บัญชีดังกล่าวถูกปิดไปแล้วเรียบร้อย เงินออกจากบัญชีไป ๑๓๔ ล้านภายใน ๓-๙ เดือน 

 

• เหตุความขัดแย้ง
สื่อมวลชนถามอีกว่า เนื่องจากเป็นตระกูลดัง จึงอยากทราบถึงความขัดแย้งว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วคิดว่าใครเป็นผู้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและความ ขัดแย้งต่างๆ 

นายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ กล่าวว่า “เดิมทีคนที่เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลคือนายกิตติ วงษ์ชวลิตกุล ซึ่งเป็นทายาทคนที่ ๓ ก่อนหน้านี้เคยมีการตั้งประเด็นปัญหาภายในเรื่องการเบิกจ่าย มีการอ้างเหตุกันว่าไม่ครบถ้วน เป็นประเด็นในการเอาอธิการบดีลง คือมีการเปลี่ยนแปลงอธิการบดี น่าจะเป็นเหตุส่วนนั้นที่ทำให้เริ่มร้าวฉาน แบ่งเป็นสองฝ่าย มีการสร้างพยานหลักฐานโจมตีแต่ละฝ่าย ส่วนเรื่องคดีความ จะมีการทำพยานหลักฐานโดยลายเซ็นอาจารย์มุขว่าให้ตรวจสอบอธิการบดีคือให้ตรวจสอบนายกิตติ ทางทายาทคนที่สองเห็นว่าคุณพ่อไม่มีทางที่จะทำเรื่องดังกล่าวได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ จึงได้เข้าไปหาคุณพ่อ เพื่อถามคุณพ่อ วิธีการถามจะเป็นการทำวิดีโอ เขียนตัวหนังสือใหญ่ๆ คำสั้นๆ ประมาณ ๒-๓ ถ้อยคำเท่านั้น แล้วต้องพูดซ้ำๆ จนท่านเริ่มจะรู้สึก คุณพ่อบอกว่าไม่รู้เรื่องการเซ็นให้ตรวจสอบอธิการบดีลงจากตำแหน่ง พอคุณพ่อไม่รู้เรื่องทางบุตรคนที่สองก็ให้คุณพ่อเซ็นถอนการตรวจสอบดังกล่าว พอมีการเซ็นถอนเขาก็เอาหนังสือเซ็นถอนไปร้องทุกข์กล่าวโทษว่า บุตรคนที่สองปลอมแปลงลายมือชื่อ ตำรวจก็สั่งฟ้อง อัยการก็มีการฟ้อง พอฟ้องเสร็จ ขณะนั้นศาลเห็นว่าเป็นคดีครอบครัว และเป็นคดีที่ค่อนข้างมีหน้ามีตาทางสังคม ซึ่งประเด็นการต่อสู้ของทายาทก็คือไร้ความสามารถ การที่ศาลจะทำคำพิพากษาเกี่ยวกับผู้ที่มีสติค่อนข้างล่อแหลม ท่านจึงขอเดินเผชิญสืบ โดยทั่วไปจะน้อยมากที่ศาลจะเดินเผชิญสืบ ท่านได้ไปเดินเผชิญสืบถึงบ้าน แล้วได้รู้เห็นทั้งหมดถึงอาการ จนเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ ท่านก็ได้พิพากษาซึ่งใจความว่า มีภาวะผิดปกติทางสมองบางส่วนตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีปัญหา ถามว่า ในวันก่อนสืบพยานศาลได้ให้โอกาสทายาทได้พูดคุยกัน แต่อีกฝ่ายยืนยันที่จะให้ดำเนินโทษกับทางบุตรคนที่สองให้ถึงที่สุด จึงอาจจะเป็นประเด็นที่ทำให้มีปัญหาในครอบครัวนี้”

• ไม่เคยบาดหมางกับพ่อ 
นายกัมพลในฐานะทนายความ กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีสื่อมวลชนถามว่า ต้องการอะไรที่ออกมาแถลงข่าวครั้งนี้ ผมเห็นว่าต้องการทวงคืนความยุติธรรมในทายาทที่วงษ์ชวลิตกุลควรจะได้ในสิทธิ์ของลูกชายคนหนึ่งควรจะได้ แต่กลับไม่ได้โดยมีเหตุพิรุธและข้อสงสัยค่อนข้างเยอะ ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ประกอบกับทุกวันนี้ มีผู้ตั้งข้อคำถามว่า ทั้งสามคนนี้ไปทำอะไร ทำไมจึงถูกตัดสิทธิ์จากทายาท ซึ่งความจริงแล้วก่อนที่คุณพ่อจะป่วย จะมีรูปถ่ายต่างๆ คุณพ่อไว้วางใจให้ทายาทคือนายสมรัฐดูแลเป็นผู้ช่วยที่ ช.พ.น. นายกิตติดูแลมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล แล้วทั้งสามคนให้ช่วยดูแลโรงเรียนเกียรติคุณวิทยา แต่ที่น่าแปลกใจคือทายาทมี ๔ คน อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า แล้วปัญหาหลักๆ ถ้าคุณพ่อจะตัด เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับคุณพ่อ ไม่เคยบาดหมางกันมาก่อน แล้วทำไมมาตัดในขณะที่ท่านเข้ารับการรักษาตัวด้วยโรคสมองเสื่อม แล้วที่สำคัญคือท่านไม่สามารถขับรถเองได้ เป็นรถพิเศษ จะมีเครื่องช่วยยกวีลแชร์ขึ้นรถ รถจะมีเครื่องช่วยพยาบาลบางส่วน และที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า พยานในนิติกรรมทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับวงษ์ชวลิตกุลเลย ไม่เกี่ยวข้องกับคนภายในเลย เขาเป็นใคร มาจากไหน มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนนี้หรือไม่ ซึ่งทางเราอยากขอความเป็นธรรมจากสื่อให้ช่วยสืบหาหรือเสาะหาประเด็นส่วนนี้ เพื่อให้ทายาทได้สิทธิ์ในนามสกุลวงษ์ชวลิตกุลต่อไปการได้สิทธิ์คือ ได้สิทธิ์ในชื่อเสียงว่า เหตุใดจึงถูกตัดสิทธิ์ และสิทธิ์ในการที่พ่อแสดงเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นว่าจะให้ร่วมกันดูแล รวมทั้งสิทธิ์ในฐานะบุตรตามกฎหมาย ซึ่งลูกทุกคนควรจะได้ไม่มากก็น้อย 

นายกัมพลในฐานะทนายความ กล่าวว่า เรื่องคดีความอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอในชั้นศาลต่อไป แต่ไทม์ไลน์ในการยื่นเป็นอย่างไรยังไม่ขอตอบ เนื่องจากคดีดังกล่าวค่อนข้างมีความละเอียดสูงและหลักทรัพย์ตัวแปรผันค่อนข้างเยอะ ทำให้อาจจะเกิดความไม่ชอบธรรมขึ้นหรืออาจจะไม่ได้ความยุติธรรมแก่ทายาท การออกสื่อในวันนี้เพื่อให้เป็นกระแสสังคมเนื่องจากห่วงเรื่องความปลอดภัยของทายาทด้วย เพราะว่าอย่างที่เราดูสื่อมาหลายครั้ง บางครั้งเม็ดเงินมีผิดใจกันไม่เท่าไหร่ก็อาจจะเกิดอาชญกรรมแล้ว แต่คดีนี้มูลค่าหลายพันล้าน หากสื่อไม่เข้ามาดูแลส่วนนี้ก็อาจจะไม่ปลอดภัยแก่ตัวทายาทและผู้ดำเนินคดีต่อไป 

 

• เปลี่ยนชื่อผู้รับใบอนุญาตและที่ดิน
นายกัมพล จรูญลัดดากุล กล่าวว่า เบื้องต้นเป็นการร้องขอจัดตั้งผู้จัดการมรดก โดยทายาทบุตรคนที่ ๒, ๓, ๔ มีการขอตั้งไป ขณะนั้นยังไม่มีการเปิดพินัยกรรม แต่ปัจจุบันเปิดพินัยกรรมแล้ว คาดว่าจะมีการคัดค้านผู้จัดการต่อไป เบื้องต้นเราตั้งผู้จัดการมรดกและขอหมายเรียกจากศาลเพื่อรวบรวมทรัพย์สิน ทำให้เพิ่งทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน เปลี่ยนผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียน มีการเปลี่ยนแปลงเอกสารสิทธิ์ที่ดิน เพิ่งมาทราบหลังจากมีหมายศาลไป ก่อนหน้านี้เพียงระแคะระคายจึงยังไม่มีการดำเนินการทางกฎหมาย แต่ปัจจุบันเราทราบแล้ว จึงอยู่ระหว่างการรวบรวมและดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย 

ประเด็นการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับใบอนุญาตสถานศึกษานั้น นายกัมพลกล่าวว่า เบื้องต้นเปิดเผยได้เฉพาะกรณีโรงเรียนเกียรติคุณวิทยา ก่อนเสียชีวิต ๑ เดือน คือเปลี่ยนเป็น ๒ ขยัก โดยขยักแรกเดือนกันยายน ๒๕๖๖ และขยักที่สองเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๖ ก่อนเสียชีวิตเดือนเดียว ซึ่งขณะนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากจากคำเบิกความหรือจากที่ทนายดำเนินคดีมาที่ศาลมีคำพิพากษามาในส่วนของคดีปลอมแปลงลายมือชื่อที่ยืนยันถึงความสามารถ 

สื่อมวลชนถามว่า หลังเปิดพินัยกรรมมีแรงกดดันต่อทายาทสามคนนี้หรือไม่ นายกัมพล จรูญลัดดากุล กล่าวว่า ถ้าเราตอบอาจจะไปกระทบสิทธิ์บุคคลที่ ๓ หากสังเกตจะเห็นว่าทายาททั้งสามเกิดความกลัว เช่น เบื้องต้นทายาทไม่ต้องสแกนลายนิ้วมือในการเข้าไปทำงานเป็นอาจารย์สอน เพราะทายาทก็เป็นอาจารย์สอน ปัจจุบันเขาบอกว่าถ้าจะทำงานต่อต้องสแกนลายนิ้วมือ ทำให้ทางเราไม่เชื่อฟัง พอไม่เชื่อฟัง ก็อาจจะเป็นเพราะสิ่งนี้ที่เขาใช้อ้าง และมีปัญหาอย่างอื่นอีกค่อนข้างเยอะ แต่อย่างที่เห็นคือ ทายาทค่อนข้างกลัวในการให้ข่าวครั้งนี้ 

 

• ไม่ต้องเซ็นสัญญาทำงาน
นายกิตติ กล่าวว่า โดยปกติแล้วในฐานะของลูกจะไม่เคยเซ็นสัญญาในการทำงาน สแกนลายนิ้วมือก็ไม่ต้อง แต่ปัจจุบันต้องเซ็นและสแกนลายนิ้วมือเข้าออกเหมือนเป็นพนักงาน แต่เราก็ยังทำงานอยู่ ปกติผมสอนปริญญาโท และตอนนี้ก็ไม่มีตำแหน่งอะไร เป็นอาจารย์ปกติ 

นายสมรัฐ กล่าวว่า ผมสอนการตลาด คณะบริหารธุรกิจ แต่ตำแหน่งตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่คือ ผู้ช่วยผู้จัดการ ช.พ.น. แต่เมื่อมีการแต่งตั้งผู้จัดการคนใหม่ขึ้นมา ก็ไม่มีการเรียกใช้ แต่สมัยที่คุณพ่อเป็นผู้จัดการผมจะอยู่กับคุณพ่อตลอด เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ตอนนี้เมื่อมีการตั้งผู้จัดการคนใหม่ขึ้นมา ก็ไม่ได้มีการประสานกับผม เพราะเขาตั้งผู้ช่วยผู้จัดการอีกคนขึ้นมาด้วย ซึ่งเมื่อก่อนผมก็จะสอนและบริหารงานที่ ช.พ.น. แต่ตอนนี้ถูกลดบทบาท เหลือแค่การสอน ซึ่งปัจจุบันต้องมีการสแกนเข้าออกงาน
ในขณะที่นายจักริน เป็นอาจารย์สอนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล 

 

(จากซ้าย) นายกิตติ นายสมรัฐ และนายจักริน

 

จากนั้นสื่อมวลชนได้มีการให้อ่านข้อความในพินัยกรรมซึ่งนำมาแสดงในการแถลงข่าววันนี้ด้วย โดยนายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ กล่าวว่า บอกไว้ก่อนว่า พินัยกรรมฉบับนี้คุณพ่อไม่ได้เป็นคนเขียน เนื่องจากผู้เขียนเป็นทนายความ ซึ่งทนายความคนนี้ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณพ่อ อยู่ดีๆ ทนายความคนนี้ก็มาดำเนินการเขียน ว่า “ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่ และที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้า ข้าพเจ้าตกลงยกให้นาย....แต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอตัดมิให้บุคคลดังต่อไปนี้รับมรดกของข้าพเจ้า” ก็คือผู้แถลงข่าวทั้งสามคนที่ถูกตัด ใจความสำคัญมีแค่นี้ และเป็นการเขียนของบุคคลภายนอก ซึ่งในช่วงท้ายเอกสารบอกว่าได้กระทำต่อหน้าพยานสองคน แต่ก็ไม่มีการลงชื่อ เรามองว่าเป็นกรณีเร่งรีบหรือเปล่า หากเราดูลายเซ็นหน้าสองของคุณพ่อกับลายเซ็นหน้าซองที่ไปทำที่อำเภอแตกต่างกันชัดเจน และที่สำคัญทางทนายมีการสืบพยานเรื่องลายมือชื่อ ซึ่งพนักงานสอบสวนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือชื่อในคดีนั้น เขายืนยันว่า ลายเซ็นของคุณพ่อจะมีลักษณะด้อยค่าลงเนื่องจากอาการป่วย 

จากนั้นทนายความ ได้เปิดคลิปบางส่วนโดยระบุว่า เพื่อแสดงถึงลักษณะอาการ เบื้องต้นเป็นลักษณะกรณีที่จะให้เซ็นเอกสาร และอีกคลิปเป็นการให้อาจารย์มุขอวยพรปีใหม่ และถามชื่อลูกๆ โดยวันนี้ข้อมูลเอกสารให้สื่อมวลชนสแกนแล้วเข้าไปดาวน์โหลดจากลิงก์ได้เลบ

หลังจากนั้นปิดการแถลงข่าว แต่อย่างไรก็ตาม มีการประมาณการณ์ว่า ทรัพย์สินทั้งหมดของนายมุข วงษ์ชวลิตกุล จะมีมูลค่าถึงหมื่นล้านบาท

 

• ‘อ.ปราณี’ชี้พูดจริงไม่เท็จ
ต่อมาวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมแคแสด มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล นางปราณี วงษ์ชวลิตกุล ภริยานายมุขฯ พร้อมทนายความได้แก่ ว่าที่ร้อยตรีเอกชัย จันทพึ่ง ประธานสภาทนายความจังหวัดสระบุรี และทนายความอีกคนคือนายดวงถึง ปราบงูเหลือม ร่วมแถลงข่าว โดยมีนายณัฐวัฒม์ วงษ์ชวลิตกุล บุตรคนโต รวมทั้งญาติของอาจารย์ปราณี และคณาจารย์บุคลากรของสถานศึกษามาให้กำลังใจด้วย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมารักษาความสงบประมาณ ๓-๔ นาย 

 

น้องชายมอบดอกไม้ให้กำลังใจพี่สาว

 

นางปราณี วงษ์ชวลิตกุล กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรัก เป็นวันดีด้วย จากที่ได้ดูข่าวเมื่อเช้าที่ไปสำรวจเด็กๆ ว่า รักใครมากที่สุด ก็ตอบว่า รักพ่อรักแม่ ดิฉันมาในวันนี้จะพูดเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเท็จ เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรามีลูกและสร้างครอบครัวกันมากับอาจารย์มุขใช้เวลาร่วมกันมาทุกข์สุข ๔๗ ปี แล้วก็เกิดสถานศึกษาขึ้นมา อาจารย์มุขมุ่งในเรื่องการศึกษามาก เพราะการศึกษาสร้างคน คนก็สร้างชาติ มีความตั้งใจจะเปิดการศึกษาทุกระดับตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ซึ่งเราก็มีครบทั้งสามสถาบัน เราเน้นมากว่า คนที่ออกไปในสามสถาบันต้องเป็นคนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ

นางปราณี และบุตรคนโต (นายณัฐวัฒม์ วงษ์ชวลิตกุล)

 

• ปลวกแทะไม้ ๓ ต้นจะหมดแล้ว
“แล้วก็สร้างครอบครัว มีลูกด้วยกัน รวมบุตรบุญธรรมด้วยหนึ่งก็เป็น ๕ คน ได้ช่วยกันในการหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ต่อสู้กันมา ไม่มีก็ไปกู้แบงก์ ไม่มีเงินก็ต้องกู้เงิน เราช่วยกันเลี้ยงดูลูก ๕ คน ลูกอยากเรียนอะไรก็ให้เรียนตามที่อยากเรียนจะได้ทำงานออกมาดีที่สุด สิ่งที่ชอบที่สุด มีผลงานออกมาดีที่สุด แต่ปรากฏว่าระยะหลังลูก ๓ คนเหมือนเป็นปลวกแทะกินไม้ ต้นไม้ที่เราสร้างมาปลูกมาจนจะหมดทุกต้น สามต้นนี้ ปลวกกินเกือบจะหมดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ ๑ ที่เราสร้างครอบครัวและเลี้ยงลูกอย่างดี” นางปราณี กล่าว 

 

ภาพถ่ายที่นำมาฉายให้สื่อมวลชนดูในการแถลงข่าวของอาจารย์ปราณี

 

• ไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์
นางปราณีกล่าวอีกว่า เรื่องที่ ๒ อาการและสังขารของอาจารย์มุข เมื่อตอนที่ท่านเสียชีวิตอายุ ๙๑ ปี เราดูแล้วว่าอายุยืน แต่มันเป็นการลืม เป็นการลืมไม่ใช่เสื่อม เราก็ยังลืมว่ากุญแจไว้ที่ไหน อายุ ๕๐ ก็ยังมีการลืม แล้ว ๙๐ จะไม่ลืมได้อย่างไร เป็นการลืมไม่ใช่อัลไซเมอร์รักษาไม่ได้ ซึ่งในช่วงหลังเราก็รักษาอยู่ กินยาตามที่หมอสั่ง หมอก็ให้ยามาตามอาการที่แสดงออก ในการจะผ่าตัดก็ไม่ให้ผ่าตัดเพราะอายุเยอะแล้ว ถึงหมอจะแนะนำอย่างไรในการผ่าตัดเราก็ไม่ทำ ให้อาจารย์มุขมีชีวิตที่ยืนยาวที่สุด อาการก็เป็นไปตามอายุ ๙๑ ป๋าอายุยืน ดูแลลูกดูแลครอบครัว ทุกสิ่งทุกอย่างหาไว้ให้หมดเลย อาคารก็สร้างไว้ให้เรียบร้อยไม่ต้องสร้างอีกแล้ว ขณะนี้ก็มีอาคารเหลือเพราะปริมาณของนักเรียนนักศึกษาลดลง แต่เราดีใจที่นักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกของเราเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ เต็มโควตาแล้ว และยังรอคิวสมัครเรียนด้วย เราก็ดีใจในด้านการศึกษาเราสามารถทำได้ ไม่แพ้ที่ใดแน่นอน 

• ลูก ๓ คนได้แต่แลดู
“เรื่องที่ ๓ ประวัติการไม่สบายของอาจารย์มุข ก็เป็นมาตามอายุ แต่เรื่องลืมไม่ลืมแน่นอน เราดูแลอย่างดี มีลูกเล่นอารมณ์ดีของอาจารย์มุขเยอะแยะ มีทุกวัน เราช่วยกันดูแล แต่ไม่ใช่ลูก ๓ คนที่ได้แต่แลดู เราดูแลจริงจัง แต่ลูก ๓ คนมาแลดู แล้วก็จะเข้ามาบ้านตลอดเวลา เข้ามาจัดฉาก เข้ามาบันทึกเทป บันทึกภาพ เอาไปใช้ในศาล ซึ่งดิฉันก็สั่งแล้วว่า อย่านำไปใช้ในศาล มันเป็นเรื่องครอบครัวของบ้านเรา เอาไปเปิดเผยได้อย่างไร แล้วเวลามาทุกครั้งก็พาลูกพาตัวเองมา วันนั้นดีใจที่เขามาบอกว่ามาสวัสดีปีใหม่ เราก็ดีใจ ความที่เป็นแม่เป็นย่า เราก็ดีใจมากันครบ ๓ ครอบครัว แล้วก็มาจัดฉากถ่ายรูปกับป๋า มีการพูดอะไรต่ออะไรที่เห็นในคลิป ใช้ไม่ได้เลยลูก ๓ คน เราไม่คิดว่าจะมีกลยุทธ์แบบนี้เกิดขึ้น นำไปใช้ในศาล สิ่งที่เสียใจมากที่สุดคือบางครั้งวาจาพูดจาบจ้วงแม่ของตัวเองซึ่งเป็นแม่บังเกิดเกล้า เสียใจมากว่า ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลยลูก ๓ คน อยากเรียนแค่ไหนก็ให้เรียน เรียนให้ถึงที่สุด ปริญญาโทปริญญาเอก แล้วก็มาทำงานที่มหาวิทยาลัย ๓ คน รับเงินเดือนแต่ไม่ทำงาน บุคลากรของเราทั้งสามแห่งต้องมาเซ็นสัญญาบุคลากรว่ากันเป็นปีๆ แต่ก็ไม่มา ลูก ๓ คนซึ่งรับเงินเดือนของ ม.วงษ์ฯ แต่ไม่ยอมมาเซ็นสัญญากับเรา ลูกที่ว่าได้รับมรดกเขาเซ็น เขาปั๊มบัตรเหมือนบุคลากรทั่วไป แต่ ๓ คนนี้ไม่ทำ เราไม่ทำเด็ดขาดเรื่องความเหลื่อมล้ำ ทุกคนเท่าเทียมกัน ส่วนในเรื่องหมอที่รักษาอาจารย์มุขได้เซ็นไว้ในใบคำสั่งแพทย์แต่ที่เอามาแสดงในคลิปไม่ใช่ของหมอที่รักษาอาจารย์มุข ไปขอใบรับรองแพทย์ของแพทย์คนอื่น ไม่เข้าใจว่าใช้กลยุทธ์อะไร” นางปราณี กล่าว 

 

• เงิน ๑๓๔ ล้านอยู่ที่ ๓ คน
นางปราณี กล่าวว่า ที่บอกว่า เงิน ๑๓๔ ล้านไปไหน ก็อยู่ที่พวกเขาทั้งหมด ๑๓๔ ล้าน สร้างบ้านให้คนละหลัง รวม ๓ หลัง แล้วค่าน้ำค่าไฟเราก็จ่ายให้ ตอนนี้ก็ยังจ่ายให้ ซึ่งการกระทำของลูก ๓ คนเหมือนบังคับให้แม่ทำสิ่งที่ไม่ดี แต่เราจะไม่ทำสิ่งที่ผิด เพราะบอกทุกคนไว้แล้วว่าเราจะทำสิ่งที่ถูกต้อง ท่านพุทธทาสถามว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร ตอนนั้นเรียน วปอ.ก็ได้ไปกราบท่านที่วัด แล้วท่านก็บอกว่าให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง คือต้องไม่มีปัญหาตามมา เราเน้นย้ำกับบุคลากรทั้งสามสถาบันตลอดที่ทำงานมา ๓๐ กว่าปี เราก็ทำงานร่วมกับทีมของเราซึ่งช่วยงานของมหาวิทยาลัยอย่างดีมาก ก้าวหน้าพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เราจะไม่หยุด เราจะต้องก้าวหน้าต่อไปเป็นสถานศึกษาที่อยู่คู่กับจังหวัด ในเรื่องเงิน ๑๓๔ ล้าน ดูๆ แล้ว เขาใช้ทั้งหมดนั่นแหละ สร้างบ้าน ๓ หลังแล้วก็ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมากมายก็เอามาเบิก ก็ให้ตามใบเบิก ก็ไม่รู้ว่าใบเบิกถูกต้องหรือเปล่า ไม่ได้ไปตรวจสอบว่าจริงไหม เรื่องมาเบิกเงินก็เบิกกันมาก ค่าลูกป่วย ค่าภริยาคลอด บอกให้มาคลอดที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาก็ไม่มา ไปคลอดโรงพยาบาลเอกชน โอ้โห...ใช้เงินเยอะมาก แล้วก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่เราให้กับลูก ๓ คน ก่อนหน้านี้เราให้เดือนละ ๑ แสน แล้วเกิดพฤติกรรมแปลกๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็อย่าให้เลยดีกว่า เพราะให้เงินไปทำสิ่งที่ไม่ดี ทำกับพ่อและแม่ แม้แต่พ่อก็ยังนำคลิปที่อยู่บนเตียงมาเผยแพร่ซึ่งไม่ใช่เรื่อง ต้องถ่ายตอนที่นั่งเพราะท่านนั่งได้ ยังไม่ติดเตียง จนถึงวาระสุดท้ายก็ยังไม่ติดเตียงยังนั่งได้ และชอบมาตอนที่ท่านตื่นใหม่ๆ ยังงัวเงียนิดหน่อย เอาเอกสารมาให้เซ็น ที่เห็นว่าดิฉันบังคับให้เซ็นก็ไม่ใช่ เราก็ต้องบอกให้ท่านเซ็น ต้องพูดเสียงดังเพราะว่าการได้ยินใช้ได้แค่ ๔๐% เท่านั้น และลูกบางบ้านสร้างบ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟก็มาเบิกเงินไป ตัวหนึ่งก็หลายตังค์ เราก็ให้ แล้วก็ไปเที่ยวบอกว่าป๋าของตัวเองไร้สติ ความจำลืม ท่านไม่ลืม ยังจำได้แม่น ท่านเจอคนที่ไม่ได้เจอกันนานแต่ท่านสนิทท่านก็จำได้ว่าคือใคร แต่ถามว่าจำลูกได้มั้ยก็จำไม่ได้เพราะไม่ค่อยได้มา ไม่ได้มาทุกวัน ไม่เหมือนทายาทที่ท่านมอบมรดกให้เขามาดูเช้าดูเย็น มาทุกวันแล้วก็จำชื่อได้ แต่พอคนที่ ๒, ๓, ๔ มาท่านจำไม่ได้ เราต้องถามว่าจำชื่อลูกได้มั้ย ไปเรียกลูกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น เราก็หัวเราะว่าลูกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านคือจัดการทุกอย่าง เพราะฉะนั้นในเรื่องที่ว่าเบิกเงิน ไม่มีที่สิ้นสุดเราก็ให้ กระทั่งเงินในระบบของเราที่อยู่ในสถานศึกษาถูกดึงออกมา เขียนเช็คให้ เราก็ต้องคืนเงินให้สถาบันเพราะเราเอาเงินมาจ่ายให้ก่อน แล้วมาถามว่าเงินหายไปไหน ก็นำมาจ่ายตรงนี้ บ่อปลาคาร์ฟ ปลาตัวหนึ่งก็หลายหมื่น มีหลายตัว หลักฐานทั้งหมดเราก็เก็บไว้ 

 

• โอนที่ดินให้สถานศึกษา
นางปราณี กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่ดินที่บอกว่า ๓๐๐ ไร่มูลค่าห้าพันล้านก็เป็นความจริง แต่ถ้าเป็นสถานศึกษามีกฎหมายบอกว่าต้องมีที่ดินเป็นของสถานศึกษา เพราะมีกรณีสถานศึกษาเอกชนเลิกกิจการแล้วนักศึกษาถูกลอยแพ กระทรวงฯ จึงออกกฎหมายให้มีที่ดินเป็นของสถานศึกษา ดังนั้น ที่ดินของโรงเรียนเกียรติคุณวิทยา ๒๐ ไร่ก็ต้องโอนไปเป็นของโรงเรียน, ช.พ.น. ๘๐ ไร่ก็ต้องโอนให้ช.พ.น.เป็นเจ้าของ และที่เหลือมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลก็ต้องโอนตามกฎหมาย ในเรื่องที่ดินดิฉันกับอาจารย์มุขก็ช่วยกันหามา ในช่วงนั้นที่ดินยังไม่แพง อาจารย์มุขก็ซื้อไว้ จึงเป็นที่มาของสถานศึกษาทั้งสามแห่ง เป็นสิ่งที่สร้างไว้ให้ลูกๆ ได้ทำต่อ อาจารย์มุขมีความตั้งใจว่าต้องทำในเรื่องการศึกษา ไม่ทำอย่างอื่น เราสองคนช่วยกันหามา แล้วลูก ๓ คนนี้จะเนรคุณหรืออย่างไร 

 

• ยืนยันพินัยกรรมจริง
ในขณะที่เรื่องพินัยกรรมนั้น อาจารย์ปราณี กล่าวว่า ทำพินัยกรรมไว้ตั้งแต่พ.ศ.๒๕๖๔ ที่อาจารย์มุขไปทำไว้ ในวันนั้นก็จะมีทนายที่เป็นคนจัดการเรื่องข้อความที่อาจารย์มุขต้องการ และดิฉันที่อยู่ด้วย มีพยานมาเซ็นให้ครบตามกฎหมายกำหนด พยานเซ็นอีก ๒ คน ที่ลูก ๓ คนมาพูดเรื่องพินัยกรรมเขาพูดจากความคิดของเขา ไม่ได้พูดจากเรื่องจริง ดิฉันเห็นจริง พูดเรื่องจริง อยากจะบอกว่า ตระกูลวงษ์ชวลิตกุลตอนนี้เรียกว่าดังระดับประเทศ มีคนพูดว่ามีการด่างพร้อยของตระกูลวงษ์ชวลิตกุล ดิฉันได้ยินก็คิดว่าด่างพร้อยนี้เกิดจากใคร ด่างพร้อยเกิดจาก ๓ คน ไม่ใช่เรา เกิดจากลูก ๓ คนที่ทำให้ด่างพร้อยขึ้นมา ตระกูลเราสร้างความดีมาตลอด ในการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือชุมชน ช่วยเหลือปประเทศชาติ ทำมาตลอด 

“ในเรื่องพินัยกรรมเขาไปบอกว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ดิฉันว่าเป็นจริง อาจารย์มุขจะเห็นแต่ลูกคนที่หนึ่งมาทุกวัน มาเช้ามาเย็น ท่านจำได้ พอมาท่านก็เรียกชื่อเป๊ะเลย แต่อีก ๓ คนท่านจำไม่ได้ เราไม่เคยสอนลูกให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูก ตอนเด็กๆ เราจะสอนให้ท่องว่าศีลห้ามีอะไรบ้าง ก็ท่องทุกวัน ท่องได้ กระทั่งโตมาก็จำได้ แต่เมื่อมีครอบครัวแล้วก็เปลี่ยนไป มีการเปลี่ยนแปลงไป เรื่องพินัยกรรมอาจารย์มุขทำไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ แล้วก็มาเปิดกัน พินัยกรรมก็ปรากฏไปตามนั้น มอบให้ลูกคนที่หนึ่งคนเดียว แล้วตัดสามคนตามนั้นเลย” อาจารย์ปราณี กล่าว

 

• งานศพจัดเรียบง่าย
นางปราณี กล่าวอีกว่า เรื่องสุดท้าย เรื่องเงิน อยากให้ลูก ๓ คนไปเช็คดูว่าได้เบิกอะไรบ้างที่นำมาเบิกกับเรา เพื่อจะได้ไม่ต้องมีข้อสงสัย แล้วก็ไปพูดอยู่คำหนึ่งว่า “การจัดงานศพของอาจารย์มุขมีเงื่อนงำ” ดิฉันก็คิดว่าลูกสามคนคิดได้อย่างไรว่ามีเงื่อนงำ แล้วก็ไปพูดว่าอาจารย์มุขไปซื้อที่ฮวงซุ้ยไว้แล้วทำไมไม่ฝังศพ ไม่เคยพูดเลย แล้วก็ไม่เอาด้วย เพราะฮวงซุ้ยที่มีอยู่ตอนนี้คือของพ่อแม่อาจารย์มุข แล้วต่อมาหลังๆ ก็ไม่มีแล้ว มีแต่เผาศพเอาอังคารเอากระดูกไปลอย ในการจัดการงานศพเราก็ทำตามที่อาจารย์มุขต้องการนั่นคือเรียบง่ายที่สุด ไม่ต้องยุ่งยาก ซึ่งเราก็ทำอย่างดีที่สุด ไม่มีบกพร่อง ในช่วงระยะเวลาวันที่ ๑๑,๑๒,๑๓,๑๔,๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ รวม ๕ วันและวันที่ ๑๖ เราก็เผา แล้วมีบางคนบอกว่าทำไมไม่มีพระราชทานเพลิง เราก็บอกว่าอาจารย์มุขต้องการเรียบง่าย ไม่ต้องการให้ยุ่งยาก สั่งไว้ว่าให้ทำแบบเรียบง่ายที่สุด แล้วเราก็บอกกับลูกคนโตที่ได้รับมรดกว่า แม่เสียชีวิตก็จัดการแบบนี้ ไม่ต้องจัดการใหญ่โต สั่งเขาไว้แล้ว ไม่ต้องการให้ยุ่งยากมากมาย จัดตามพิธีคือเผาแล้วเอากระดูกไปลอย

 

• ยืนยันพูดเรื่องจริง ความจำแม่น
“ทั้งหมดที่ดิฉันกล่าวมาเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องเท็จ ดิฉันยังมีความจำแม่นยำ อายุน้อยกว่าอาจารย์มุข ๑๐ ปี ยังแม่นยำ จำได้แม่นในสิ่งที่เกิดขึ้น ในการที่เราจะพัฒนามหาวิทยาลัยฯ การเปิดหลักสตรทุกอย่างต้องมีคณะกรรมการของกระทรวงตรวจ ถ้ามีการแก้ไขก็ต้องนำกลับมาแก้แล้วก็นั่งรถทัวร์ไปอีก ทำแบบนี้ บางหลักสูตรต้องแก้ไขกว่าสิบครั้ง เราก็เดินทาง แก้เสร็จเอาไปส่งๆ แล้วเราก็ทำให้กระทรวงเห็นว่าเราทำจริงจัง ไม่ได้ทำเล่น สร้างคนอย่างมีคุณภาพ” นางปราณี กล่าวย้ำ 

 

นางปราณี วงษ์ชวลิตกุล ภริยานายมุขฯ และทนายความแถลงข่าว

• อ่านแถลงการณ์
ภายหลังนางปราณี วงษ์ชวลิตกุล กล่าวจบ มีเสียงผู้ชายประกาศว่า “ต้องการให้คุณแม่อ่านแถลงการณ์ในมือทุกตัวอักษร เพราะการพูดคุยระบายความในใจของคุณแม่จบแล้ว จึงขอให้คุณแม่อ่านแถลงการณ์ เนื่องจากในวันนี้มีสื่อมวลชนจากส่วนกลางเดินทางมาทำข่าวด้วย”

โดยอาจารย์ปราณี กล่าวว่า ดิฉันอยากจะเรียนเพิ่มเติมในส่วนที่กล่าวไปทั้งหมด ๗ เรื่อง คือ เรื่องที่ ๑ คำว่า เสา ๔ ต้นป๋าเคยพูดจริง ตั้งแต่ดิฉันและสามียังต้องทำงานส่งเสียลูกทั้ง ๕ คนร่ำเรียน ซึ่งจริงๆ ป๋าได้รับลูกบุญธรรมที่เป็นผู้หญิงมาช่วยดูแลเจ้า ๓ คนนี้ แต่เรานึกไม่ถึงว่าเสา ๔ ต้น มันจะผุพัง โดยมีปลวกคือสะใภ้ของทั้ง ๓ คน มารวมกันกัดกิน จนไม่มีสมองที่จะแยกแยะสิ่งที่ถูก สิ่งผิดได้ดังนั้นแม้จะเหลือเสาเพียงต้นเดียว ก็ยังมั่นใจว่า จะประคับประคองให้กิจการที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของดิฉันกับสามี คือ อาจารย์มุข วงษ์ชวลิตกุล อยู่รอดปลอดภัย ดีกว่าให้เสาทั้ง ๓ ต้น ที่โดนกัดกินจนไร้สมองมาค้ำให้เสียสมดุล จนพังทลาย จนเสาดีๆ ต้นอื่นพลอยล้มไปด้วย

๒. ที่นายสมรัฐ พูดถึงสภาพสังขารของคนที่เป็นพ่อ สำหรับคำพูดแบบนี้ ที่ใช้กับคนที่เรียกว่าพ่อ ทุกคำที่สบประมาทออกสื่อสาธารณะ การสำรอกคำพูด ที่ดูถูกเหยียดหยาม ประณามถึงความเสื่อมถอยของสุขภาพร่างกาย ที่ตรากตรำมาทั้งชีวิต ก็เพราะเพื่อหาเงินไปหล่อเลี้ยงเสาผุๆ ไร้สมอง ๓ ตัวนี่แหละ 

๓. การที่ทั้ง ๓ ยกเอาเรื่องของประวัติการรักษามาเป็นเครื่องมือว่าผู้บังเกิดเกล้าของตน ไร้สติ ไร้ความสามารถ ทั้งที่เป็นพ่อของตัวเอง ก็เพื่อจุดประสงค์เดียว ที่จะขอเป็นผู้อนุบาล ทั้งที่ร้อยวันพันปี ก็ไม่เคยมาเหลียวแล ดูแลเอาใจใส่ สาเหตุที่พยายามไปร้องขอเป็นผู้อนุบาล ก็เพียงเพื่ออยากมีอำนาจในทรัพย์สินที่ดิฉันและสามีร่วมกันทำมาหาเก็บ ก็เพื่ออนาคตของทุกๆ คน ทำไมไม่พูดความจริงทั้งหมดว่ารวมหัวกัน ๓ คน ที่ไปยื่นคำร้องขอเป็นผู้อนุบาลป๋า เพื่อที่จะเข้ามาล้างผลาญทรัพย์สิน ที่อาจารย์มุขกับดิฉันทำกันมาทั้งชีวิต แล้วที่ทำเป็นรู้ดีว่า อัลไซเมอร์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อยากทราบว่า ไปจบหมอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มาทำเป็นรู้ดี เท่าที่เสียเงินส่งเสียให้ไปร่ำเรียนมา จนทุกวันนี้เป็นพ่อคนแล้ว มีปัญญาหาเลี้ยงตัวเองและลูกเมียได้บ้างแล้วหรือยัง

 

• บ้าน ๓ คนเป็นคฤหาสน์
๔. ข้อที่ว่านายสมรัฐ สงสัยเรื่องเงินที่หายไป ๑๓๔ ล้าน ที่บอกว่าหายไป ไม่สงสัยตัวเองกับอีก ๒ คนเลยหรือ กิตติกับจักรินที่เบิกกันไปคนละเท่าไร เงินกินเปล่าอีกเดือนละ ๑ แสน ทั้งที่ป๋าไม่เคยให้ แต่ดิฉันเป็นคนให้เอง เบิกเอาไปปลูกบ้านคนละกี่สิบล้าน โดยเฉพาะจักรินคนเล็ก นี่เอาไปคนเดียวเกือบ ๖๐ ล้าน ไปปรนเปรอผู้หญิง ที่ไปทำเขาท้อง เป็นเหตุให้ป๋าต้องแบกสังขารเอาเช็คเงินสดไปทำขวัญเขาที่กรุงเทพฯ ถึง ๒ ล้าน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มั่นใจเลยว่า ใช่หลานของเราจริงหรือเปล่า นี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ป๋าเริ่มป่วย กับการเดินทางในครั้งนั้น บ้านแต่ละคนที่ปลูกอยู่กันอย่างกับคฤหาสน์ เอาเงินป๋าไปกันเท่าไหร่ ลองมาดูสภาพบ้านดิฉันที่อยู่กับอาจารย์มุขดูว่าเปรียบเทียบกันได้ไหม หลังจากปลูกแล้วยังต้องมาเบิกค่าดูแล ตกแต่งบ้าน ค่าซ่อมบ้านอีกเดือนละหลายๆ แสน แต่ละคนต่างไปหา Nominee (นอมินี) แต่งเอกสารมาหลอก เบิกเงินกันออกไปอย่างสนุกสนาน สร้างบ่อปลาคาร์ฟราคาเหยียบล้าน ซื้อปลาตัวเป็นหมื่นก็มาเบิก อ่างอาบน้ำใบละ ๒ แสน ค่าน้ำ ค่าไฟทั้ง ๓ บ้านเดือนละกี่หมื่น ค่าคนใช้ คนเลี้ยงลูก ล้วนมาเบิกกันสนุกสนาน พอมีลูกก็เบิกค่าคลอด โรงพยาบาลในโคราชป๋าเป็นผู้อุปถัมภ์ก็ไม่ยอมไปคลอด แต่กลับไปใช้โรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายเป็นแสน ลูกเข้าเรียนก็มาเบิก ลูกป่วยเข้าโรงพยาบาลก็มาเบิก รถซื้อให้ราคา ๕-๖ ล้านก็เบิก ทำประกันรถก็มาเบิก เรื่องต่างๆ เหล่านี้ทำไมไม่พูดในการแถลงข่าว ไม่เห็นต้องสงสัยเลยว่าเงินป๋าหายไปไหน เพราะทุกรายการหลักฐานการเบิกทั้งนั้น จนเราเห็นว่า เงินส่วนที่ป๋าเก็บไว้บริหารจะหมด จึงสั่งงดการเบิกทุกอย่าง จึงเป็นที่มาของการจะเป็นผู้อนุบาลดูแลทรัพย์สิน ใส่ร้ายป๋าว่าไร้สติ และที่สำคัญเงินส่วนใหญ่ที่ทั้ง ๓ คนมาเบิกแบบปัจจุบันทันด่วน จึงต้องใช้วิธีเขียนเช็ค โดยยืมเงินจากระบบของสถาบันต่างๆ ออกไป จนกระทั่งฝ่ายตรวจสอบเข้ามาตรวจ เป็นเหตุให้มีการเบิกเงินกองทุนส่วนนี้ออกมา เพื่อนำไปชดใช้เข้าบัญชีของทั้ง ๓ สถาบัน เพื่อมิให้เกิดการขาดสภาพคล่อง และการเบิกแต่ละครั้ง ก็เป็นการเดินทางไปทำธุรกรรมด้วยตัวของอาจารย์มุขเอง โดยเจ้าหน้าที่ของธนาคาร ทั้งที่สาขาและสำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ VDO ตรวจสอบทุกขั้นตอน

 

• ปกป้องทรัพย์สินอาจารย์มุข
๕. เรื่องที่ดินจำนวน ๓๐๐ ไร่ ที่มีมูลค่าถึง ๕ พันล้านบาท อันนี้ดิฉันก็เพิ่งจะทราบว่า ทั้ง ๓ คน เอาไปตีราคากันเรียบร้อยแล้ว และขอให้ทราบว่าเรื่องที่ดินดังกล่าว ล้วนเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษา ที่จะต้องโอนให้เป็นไปตามกฎหมายของแต่ละสถาบันการศึกษานั้นๆ และเป็นความประสงค์ของอาจารย์มุขเอง แต่ในช่วงที่นายกิตติเป็นอธิการบดี เขาหลีกเลี่ยงไม่ยอมดำเนินการ แม้ทางสภามหาวิทยาลัยพยายามทวงถามเร่งรัด ก็ยังเพิกเฉยเพราะมีความตั้งใจรวมหัวกันกับบรรดาสะใภ้ ที่จะไม่สานต่อเจตนาทำสถาบันการศึกษาต่อ จึงปล่อยให้ถดถอย ซบเซา และการที่บอกว่า มีการโอนที่ดินให้กับบุคคลอื่น ซึ่งบุคคลอื่นที่เขาพูดถึง คือดิฉันเอง นางปราณี วงษ์ชวลิตกุล ซึ่งเป็นภริยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของอาจารย์มุข วงษ์ชวลิตกุล และเป็นแม่บังเกิดเกล้าของทั้ง ๓ คน ทั้งที่ ๓ คนไปตรวจสอบเห็นชื่อทนโท่ว่าเป็นชื่อของแม่ตัวเอง แต่เขากลับแถลงข่าวใช้คำว่า เป็นบุคคลอื่น ก็ขอให้ทางสื่อมวลชนและทุกท่านที่อยู่ในห้องนี้ ตัดสินเอาเอง นี่ยังไม่รวมที่พวกเขาพากันไปที่อำเภอ แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า ตรวจดูหน่อยว่า “ปราณี มีทะเบียนสมรสกับนายมุขไหม” เจ้าหน้าที่ยังแปลกใจว่า เขาเรียกดิฉันว่า “ปราณี” คำเดียว ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถค้นเจอประวัติการจดทะเบียนสมรส คนพวกนี้ถึงขั้นดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ รีบไปโพสต์ในเฟซบุ๊กของสะใภ้ตัวต้นเหตุว่า “#ฟ้ามีตา #เงินพันล้านใกล้แค่เอื้อม” บังเอิญว่า ดิฉันเก็บทะเบียนสมรสไว้ที่บ้านลูกชายคนโต ทำให้พวกเขาฝันสลาย อีกทั้งการที่โอนใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ช.พ.น. กว. นายสมรัฐ กล่าวว่า ได้โอนเป็นชื่อบุคคลอื่นแล้วคนนั้นก็คือนางปราณี และให้รู้ไว้ด้วยว่า “นายมุข วงษ์ซวลิตกุล สามีของดิฉัน เต็มใจที่จะมอบใบอนุญาตทั้ง ๓ สถาบัน ความเป็นเจ้าของให้แก่ดิฉันแต่เพียงผู้เดียว” คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มิใช่บุคคลอื่น และดิฉันเพิ่งได้รู้ว่า ดิฉันที่เป็นผู้ให้กำเนิดทั้ง ๓ คนออกมานี้ ถูกเรียกว่า บุคคลอื่นไปแล้ว และที่นายสมรัฐใช้คำว่าดิฉันฉวยโอกาส ดิฉันก็ยอมรับว่า ดิฉันต้องรีบฉวยโอกาส เพื่อปกป้องให้ทรัพย์สินของดิฉันกับสามี ไม่ให้ตกไปเป็นของพวกเนรคุณ ที่จะทำให้น้ำพักน้ำแรง และหยาดเหงื่อของเราต้องสูญสิ้นไป เพราะพวกคนเนรคุณกลุ่มนี้

• โดนตัดทายาทก็สมควรแล้ว
๖. จริงๆ แล้วเนื้อหาในพินัยกรรมก็ได้รับรู้พร้อมๆ กันในวันที่ ๒๒ ม.ค. ๒๕๖๗ และยังไม่ได้มีการดำเนินการในขั้นตอนใดๆ ต่อ แต่ในเมื่อนายกิตติมารวมกันกับอีก ๒ คน นำเรื่องต่างๆ รวมทั้งเนื้อหาของพินัยกรรมมาเผยต่อสาธารณะ โดยเฉพาะที่บอกว่า ตัวเองทั้ง ๓ คน โดนตัดทายาท ดิฉันก็คิดว่า สมควรกับพฤติกรรมของทั้ง ๓ คนแล้ว ยิ่งที่บอกว่าจะเป็นความด่างพร้อยของวงศ์ตระกูล ดิฉันว่าเขาทั้ง ๓ คนรวมทั้งพวกที่ชักจูง แล้วยังมาใช้นามสกุล วงษ์ชวลิตกุล คนกลุ่มนี้นี่แหละ คือความด่างพร้อยของวงศ์ตระกูลที่แท้จริง

๗.เรื่องเงินก็ได้ตอบไปในครั้งแรกแล้วว่าหายไปไหน ให้ไปเช็คกับบัญชีตัวเอง หรือ Nominee (นอมินี) ที่ให้มาใช้ชื่อเบิกแทน จะได้หายสงสัย ส่วนเรื่องพิธีศพอะไรต่างๆ เขาตอบไม่ได้หรอก เพราะในช่วงพิธีการงานศพเขามัวแต่สาละวนแต่ในเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดกกันทั้งวัน พอตกเย็นก็มาเล่นละครปั้นหน้ารับแขก แสดงเป็นฉากๆ ไปวันๆ และไปโกหกนักข่าวว่า ป๋าซื้อที่ทำฮวงซุ้ยไว้ บอกป๋าสั่งให้ทำพิธีศพแบบนั้นแบบนี้ ไปเอามาจากไหน ทุกอย่างเป็นการสร้างเรื่องมาทั้งหมด มีแต่อาจารย์มุขบอกกับดิฉันเองว่า “ขอให้ทำแบบเรียบง่ายที่สุด” แม้แต่ดิฉัน ก็ได้มีการสั่งเสียกับลูกชายคนโตไว้แล้วว่าให้ดำเนินการปลงศพดิฉันให้เรียบง่าย และให้เป็นผู้ดำเนินการแต่เพียงผู้เดียว”


ภายหลังจากที่นางปราณี วงษ์ชวลิตกุล อ่านแถลงการณ์ ๗ ข้อเสร็จสิ้น มีการให้สื่อมวลชนซักถาม โดยเฉพาะเรื่องการตัดทายาททั้ง ๓ คนออกจากกองมรดกนั้น นางปราณีตอบว่า “ใช่ ตามพินัยกรรมเขียนไว้ชัดเจนแล้ว”
สื่อมวลชนรายหนึ่งต้องการให้อธิการบดีคนปัจจุบันกล่าวต่อสื่อมวลชนในวันนี้ แต่นางปราณีกล่าวว่า “อย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบเพราะดิฉันทำหน้าที่อธิการบดีมาก่อนเขา แล้วเราก็วางระบบไว้ชัดเจนทุกขั้นตอน เขาก็ดำเนินการต่อ ไม่แหวก”

 

• พินัยกรรมลับฝากไว้ที่อำเภอ
สำหรับในเรื่องการตั้งผู้จัดการมรดกและพินัยกรรมนั้น ว่าที่ร้อยตรีเอกชัย จันทพึ่ง ในฐานะทนายความ กล่าวว่า “ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลในด้านกฎหมาย และได้รับมอบหมายให้ดูแลคดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นตั้งแต่อาจารย์มุขจะถึงแก่กรรมนั้น มีเรื่องการร้องขอให้ศาลสั่งให้อาจารย์มุขเป็นเสมือนบุคคลไร้ความสามารถ และมีการขอตั้งเป็นผู้อนุบาล ซึ่งทายาททั้ง ๓ คนได้ร้องขอเป็นผู้อนุบาล แต่ในทางคดีมีการถอนคำร้องไปในครั้งแรก เนื่องจากทางแพทย์ได้มายืนยันต่อศาลว่าอาจารย์มุขยังอยู่ในภาวะที่ยังเป็นคนที่ยังใช้ชีวิตปกติได้ ต่อมามีการร้องขอให้ศาลสั่งเป็นบุคคลไร้ความสามารถอีกครั้ง ซึ่งมีการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีอยู่และรอการสืบพยาน แต่อาจารย์มุขถึงแก่กรรมก่อน หลังจากนั้นไม่กี่วันทายาททั้ง ๓ คนก็ไปร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณา ศาลนัดพิจารณาคดีวันนี้เป็นนัดแรก ในฐานะที่ผมเป็นทนายความที่ดูแลครอบครัวอาจารย์มุขและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของอาจารย์ปราณีได้รับทราบว่าอาจารย์มุขมีพินัยกรรม ได้แจ้งความประสงค์ทำพินัยกรรมแบบลับไว้ที่กรมการอำเภอ ฝากพินัยกรรมไว้ที่ที่ว่าการอำเภอเมืองนครราชสีมา ซึ่งวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗ มีการนัดหมายทายาททุกคนซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิ์รับมรดกหรือทายาทตามกฎหมายของอาจารย์มุขให้รับทราบเพื่อไปเปิดพินัยกรรม มีการส่งจดหมายเรียนให้ทายาททุกคน”

 

• ทายาทมีสิทธิ์คัดค้านพินัยกรรม
“สำหรับทายาทของอาจารย์มุขตามที่ทายาทอื่นๆ แถลงข่าวไปแล้ว ผมว่าข้อเท็จจริงยังไม่ครบถ้วน ซึ่งถ้าตามลำดับทายาทแล้วจะมีอาจารย์ปราณีในฐานะคู่สมรสและบุตรอีก ๔ คน และยังมีทายาทอีก ๑ คนที่มีการรับรองเป็นบุตรบุญธรรม แต่ไม่มีการนำข้อมูลมาเปิดเผย ซึ่งหลังจากที่ส่งหนังสือให้ทราบกำหนดการเปิดพินัยกรรม ทายาททุกคนก็ไปที่ที่ว่าการอำเภอเมืองนครราชสีมา และร่วมกันรับทราบพินัยกรรมที่เปิดจากตู้เซฟที่ฝากไว้ พินัยกรรมแบบลับนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าด้านในจะมีข้อความว่าอย่างไร หลังจากรับพินัยกรรมมาแล้วก็ขึ้นไปยังห้องประชุมเพื่อเปิดอ่านพินัยกรรมเพื่อให้ทายาททุกคนได้รับทราบ ซึ่งก่อนที่จะรับรู้รับทราบก็มีการตรวจพินัยกรรมว่าทั้งหมดที่บรรจุซองว่ามีความเรียบร้อยสมบูรณ์ยังไม่เคยผ่านการแกะหรือฉีกขาดมาก่อน มีการอ่านพินัยกรรมให้ทายาททั้งหมดรับทราบ ก็ปรากฏตามพินัยกรรมที่มีการออกสื่อไปแล้ว ซึ่งพินัยกรรมถือเป็นเจตนารมณ์ของอาจารย์มุข รวมถึงอาจารย์ปราณีและทายาททุกคนไม่เคยรับทราบมาก่อนว่าข้อความในพินัยกรรมจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อเปิดพินัยกรรมมาแล้ว อาจารย์ปราณีบอกว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของอาจารย์มุข ผมในฐานะที่เป็นผู้เปิดพินัยกรรมในวันนั้นและอ่านพินัยกรรมให้ทายาททุกคนฟังก็ได้ชี้แจงแล้วว่า ทายาททุกคนมีสิทธิที่จะไปคัดค้านเรื่องพินัยกรรม เป็นการว่ากล่าวในกระบวนการชั้นศาล ส่วนพินัยกรรมจะมีความสมบูรณ์หรือมีความบกพร่อง พินัยกรรมนั้นจะตกไปหรือว่าด้วยสภาพบุคคลในขณะที่ทำพินัยกรรม ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวในชั้นศาลเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม” ว่าที่ร้อยตรีเอกชัย กล่าว พร้อมทั้งบอกว่า ไม่ได้เป็นทนายที่เขียนข้อความในพินัยกรรม

อาจารย์ปราณี กล่าวย้ำว่า “ในวันที่มีการเขียนพินัยกรรมก็จะมีอาจารย์มุข ดิฉัน และมีทนายเป็นคนเขียนข้อความ เมื่อเราทำเสร็จแล้ว ปิดแล้วจึงมีพยานมาเซ็น”

 

ทั้งนี้ สื่อมวลชนมีการเรียนร้องให้อ่านข้อความในพินัยกรรมให้ฟัง แต่ว่าที่ร้อยตรีเอกชัยกล่าวว่า “ในส่วนของพินัยกรรมขอสงวนไว้ต่อศาลก่อน เพื่อให้ศาลวินิจฉัยและพิจารณา ส่วนที่มีทายาทบอกว่า ลายเซ็นของอาจารย์มุขที่หน้าซองกับในพินัยกรรมไม่เหมือนกันนั้น เป็นเรื่องของการนำสืบพยานในชั้นศาล เป็นเรื่องของกระบวนการพิจารณาตามกฎหมายตามที่ฝ่ายคัดค้านว่าไม่ถูกต้อง ก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ต้องมีการพิสูจน์ลายมือ ซึ่งในวันอ่านพินัยกรรมมีการทำสำเนาให้ทายาททุกคน” 

 

• ไม่ได้ลำเอียง
สื่อมวลชนถามนางปราณีว่า ในฐานะคนเป็นแม่ โดยหลักมนุษยธรรมแล้วคนเป็นแม่ควรจะแบ่งสรรปันส่วนเท่ากันไหม เลี้ยงดูลูกอย่างดีมาโดยตลอดแล้วอะไรที่เป็นปัญหามาถึงทุกวันนี้ และดูเหมือนทั้งสองฝ่ายไม่ได้มาคุยกัน และทำไมจึงไม่ดูแลลูกให้เท่าเทียมกัน ในประเด็นนี้ นางปราณี กล่าวว่า “ทุกอย่างเกิดจากพฤติกรรมของเขาเอง ความเป็นแม่ที่พูดมาก็ถูก ต้องแบ่งเท่ากัน ถ้าเขาทำดี มีความดี นี่ไม่มีเลย มีแต่ใช้เงินๆ พ่อมีเงินเยอะเบิกหมดเลย ทุกอย่างเบิกหมด แล้วเงินจะมีเหลือมั้ย ก็ไม่เหลือ ถึงจะมีเงินกองใหญ่ก็ตาม ถ้าไม่ทำงาน ไม่หากิน ไม่เก็บเงินก็ต้องหมด เพราะฉะนั้นถ้ามาถามว่าทำไมเราไม่แบ่งให้เขา เพราะว่าเขาทำตัวเขาเอง เราไม่ได้ทำ มนุษยธรรมมีแน่นอน เราไม่มีความลำเอียง และก็สอนลูกให้ทำดี เขาทำ แต่เมื่อมีครอบครัวก็เปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน ทุกคนเกิดมามีกรรมของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน เราก็เลยบอกว่า ชะตาฟ้าลิขิต จะพูดอย่างนี้ตลอด และจะพูดกรรมใดใครก่อตลอด เวลาประชุมบุคลากรถ้าเขาคิดไม่ดีกับเราก็จะพูดว่ากรรมใดใครก่อ”


นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังถามว่า กรณีที่ว่า อาจารย์มุขจำลูก ๓ คนไม่ได้ จำได้แค่ลูกคนโต ยืนยันได้หรือไม่ว่ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนในเวลานั้น อาจารย์ปราณีตอบว่า “แน่นอน มีสติตลอดเวลา จนนาทีสุดท้าย” สื่อมวลชนถามย้ำว่า “จำลูกตัวเองไม่ได้หรือ” ซึ่งอาจารย์ปราณีกล่าวว่า “จะไปจำได้อย่างไร บอกแล้วว่า ๙๐ ลืมแล้ว ลูกไม่มา หายหน้าไปเลย จะมาเฉพาะวันบันทึกเทป ถ่ายคลิปเอาไปโชว์เท่านั้น เป็นอาการลืม หมอไม่ได้เขียนเลยว่าอัลไซเมอร์” ส่วนเรื่องที่มีการบอกว่ากีดกันไม่ให้ลูกเข้าพบในช่วงที่อาจารย์มุขป่วยนั้น อาจารย์ปราณี บอกว่า “ไม่จริง สามารถเข้าพบได้ตลอดเวลา จะมาสร้างคลิป จัดฉากก็จะมา แต่หลังจากนั้นก็ไม่มา” 

เมื่อถามว่า จะฝากอะไรถึงลูกชายสามคนหรือไม่ นางปราณีตอบว่า “ในฐานะแม่ไม่อยากพูดแล้ว พูดมาเยอะแล้ว” ส่วนจะเรื่องจะเรียกลูกมาคุยกันทั้ง ๔ คนไหม? นางปราณีบอกว่า “เขาโตแล้ว จะไปดึงมาได้อย่างไร ไม่มาเอง ไม่มาเลย พอเราเรียกมาก็ไม่ฟัง พอเราพูดซ้ำเดิมก็ไม่ฟัง ร้อยครั้งได้ดิฉันจำได้ ในเมื่อดูแล้วว่าร้อยครั้งยังไม่ฟังเลย ก็จบ” 

 

• อ.ปราณีย้ำไม่มีคนนอก
สื่อมวลชนถามว่า มีกระแสข่าวจากภายนอกว่า เหตุการณ์ที่บานปลายมาถึงทุกวันนี้เพราะมีบุคคลภายนอกมาเกี่ยวข้องใช่หรือไม่? อาจารย์ปราณี ตอบว่า “แน่นอน มีบุคคลภายนอก หลังจากมีครอบครัวก็เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมลูกเราที่เคยดีๆ ก็เปลี่ยนแปลงเมื่อมีครอบครัว เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก่อนไม่มีนิสัยแบบนี้ เราก็เห็นเขารักกันดี ๔ คนพี่น้อง มีอะไรก็คุยกันปรึกษากัน แต่ตอนหลังไม่เลย ไม่ฟังเลย เราก็หยุด จะพูดทำไม ไม่ฟังก็จบ และสิ่งทุกอย่างที่เราทำออกไปเขาเป็นตัวต้นเหตุ คนภายนอกก็คือสะใภ้ใกล้ชิดที่สุดของเขา” ทั้งนี้สื่อมวลชนถามย้ำว่า คนนอกตามกระแสข่าวที่ไม่ใช่คนในครอบครัว อาจารย์ปราณี กล่าวว่า “ทางดิฉันไม่มี เป็นเรื่องราวของดิฉันเองทั้งหมดที่จะจัดการให้สถาบันการศึกษาได้อยู่รอดปลอดภัย ดำเนินการต่อได้ ขาดทุนก็ขาดทุน เราก็ยอมขาดทุนแล้วก็หารายได้ด้านอื่นมาโปะ แต่นี่ไม่ช่วยเลย ไม่ช่วยทำงาน มีแต่เรื่องเข้ามา ลองคิดดูว่าแม่จะบอบช้ำแค่ไหน เรื่องนี้ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ แต่ถ้าถึงเวลาก็คงจบ ก็รอในกระบวนการของศาล”

อาจารย์ปราณี ย้ำว่า อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของครอบครัว แต่เป็นเรื่องขององค์กร สถานศึกษา ๓ แห่ง ซื้ออุปกรณ์ให้คณะพยาบาล คณะสาธารณสุข แต่ไม่ซื้อ ต้องซื้อสองครั้งจึงได้ของ นี่คือต้นเหตุ” ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสถานศึกษาหรือไม่นั้น อาจารย์ปราณีบอกว่า “ไปในทางที่ดี ไม่ใช่ทางไม่ดี เพราะว่าอาจารย์มุขและดิฉันสั่งสมมาเป็นเวลานาน ๔๗ ปี ต้องเป็นสิ่งที่ช่วยเรา ไม่ใช่ทำลายแน่นอน”

 

ทั้งนี้ ภายหลังการแถลงข่าวจบ สื่อมวลชนถามว่า แถลงการณ์ ๗ ข้อที่อ่านไปจะสามารถแจกให้สื่อมวลชนได้หรือไม่ ซึ่งได้รับอนุญาตจากอาจารย์ปราณี นอกจากนี้ ยังมีเอกสารอีกชุดหนึ่งที่นำมาวางบนโต๊ะให้แก่ผู้เข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าว เป็นการส่งถึงผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา เรื่องขอยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิด ลงนามโดยนางปราณี วงษ์ชวลิตกุล แต่ไม่ได้ระบุวันที่ ซึ่งต่อมามีผู้ชายคนหนึ่งประกาศในที่แถลงข่าวว่า “ผมขอเสริมเรื่องเอกสารที่อยู่บนโต๊ะสื่อมวลชน ผมในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร เอกสารนี้เป็นเอกสารที่คุณแม่พยายามที่จะร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานต่างๆ จะเป็นบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ปฐมบทจนลุกลามใหญ่โตเช่นทุกวันนี้ ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นข้อความที่บันทึกโดยคุณแม่ส่งไปตามหน่วยงานต่างๆ ที่ท่านพอจะได้พึ่งพิงบ้าง เพราะที่ผ่านมาท่านบอบช้ำมาโดยตลอด เป็นผู้ถูกกระทำ ส่วนที่แถลง ๗ ข้อนั้นใช้เวลา ๒ วัน ๒ คืนนั่งบันทึก ดูคลิปอีกฝ่ายแล้วบันทึกความในใจออกมาทั้งหมดเลย เอกสารนี้ทำตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่งไปหลายที่ เพราะท่านแทบจะไม่มีที่พึ่ง ต้องต่อสู้เพียงลำพัง” 

 

สื่อมวลชนรุมสัมภาษณ์ทายาทคนที่ ๑

• ทายาทยอมรับภาระหนัก
เมื่อแถลงข่าวเสร็จ มีญาติ อาจารย์ และเจ้าหน้าที่มามอบดอกไม้แก่อาจารย์ปราณี โดยมีนายณัฐวัฒม์บุตรคนที่ ๑ เดินเคียงข้าง ก่อนที่จะถูกสื่อขอสัมภาษณ์ระหว่างที่เดินไปยังลิฟต์ โดยนายณัฐวัฒม์บอกว่า พินัยกรรมก็ได้รับฟังพร้อมกับทุกคน และเมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้รับมรดกคนเดียวก็ตอบว่า “มีภาระที่ค่อนข้างหนักมากที่ต้องดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน” เมื่อสื่อมวลชนถามว่าความรู้สึกแรกที่ทราบผลในพินัยกรรมหลังจากเปิดผนึกออกมา ก็บอกว่า “ไม่รู้สึกอะไร แต่รู้สึกว่ามันมีภาระหนักที่ต้องดำเนินการต่อจากนี้ไป และวันที่ไปฟังเรื่องพินัยกรรมก็ไม่ได้ดูหน้าใคร เพราะฟังเอกสารอยู่” 

จากในเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. ณ สำนักงานทนายสามารถ วงศ์นิยม ตำบลจอหอ เมืองนครราชสีมา ฝ่ายทายาท ๓ คนคือนายสมรัฐ นายกิตติ และนายจักริน วงษ์ชวลิตกุล พร้อมทนายความคือนายกัมพล จรูญลัดดากุล ร่วมแถลงหลังจากฝ่ายของอาจารย์ปราณี วงษ์ชวลิตกุล แถลงจบ 

 

(จากซ้าย) นายจักริน นายกิตติ และนายสมรัฐ

 

โดยนายจักริน บุตรคนสุดท้อง กล่าวว่า “จากที่คุณแม่ออกมาแถลงก็ไม่ขอโต้แย้งใดๆ ให้ท่านเสื่อมเสีย แม้ความจริงจะไม่ได้เป็นไปตามนั้น ไม่ว่าในสายตาของคุณแม่จะมองว่าพวกเราไม่ดีขนาดไหน เราก็ยังรักและเคารพคุณแม่ไม่เคยเปลี่ยน คุณแม่ดูแลพวกเรามาเป็นอย่างดี ท่านเป็นแม่ที่ดีที่สุดของพวกเรา และท่านเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ไม่ว่าท่านจะกล่าวว่าพวกเราอย่างไร เราเข้าใจว่าท่านถูกชักจูงจากผู้ที่หวังผลประโยชน์ และใช้ท่านเป็นเกราะกำบัง” 

สำหรับเงิน ๑๓๔ ล้านบาทที่มารดาระบุว่านำไปสร้างบ้านและเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านของทั้ง ๓ คนนั้น นายกิตติกล่าวว่าบ้านผมสร้างเสร็จปี ๒๕๖๒” ส่วนนายสมรัฐบอกว่า “อยู่บ้านนี้มา ๕-๖ ปีแล้ว” ในขณะที่นายจักรินนำเอกสารการตรวจสอบการก่อสร้างบ้านออกมาดูแล้วระบุว่า “เมื่อสร้างเสร็จก็จะต้องมีการตรวจสอบซึ่งในใบตรวจสอบลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ แต่ในใบถอนเงินระบุมีการถอนในปี ๒๕๖๕ แต่ไม่มีกรณีนำมาสร้างบ้านอย่างแน่นอน” 

 

นายสมรัฐ วงษ์ชวลิตกุล ซึ่งภริยาเคยดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายการคลัง

 

• เคยตรวจนับที่สถานีตำรวจ
ส่วนกรณีที่นางปราณีกล่าวว่า เกิดจากการทุจริตในองค์กร จึงทำให้บานปลายมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งนายกิตติ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล กล่าวว่า “เรื่องอุปกรณ์การศึกษา ๑๒ รายการอยู่ในช่วงปี ๒๕๕๙, ๖๐, ๖๑, ๖๒ แต่ตัวผมมารับตำแหน่งอธิการบดีวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ คาบเกี่ยวกับปี ๒๕๖๒ เพียง ๔ รายการ แต่นอกนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๕๙ การที่จะมาพูดเรื่องทุจริตนี้เราก็ไปนับจำนวนของ ซึ่งก่อนที่จะนับก็มีการไปคุยที่สถานีตำรวจ ตกลงกันว่าขอเวลามานับ ๒ วัน คือช่วงพฤษภาคม ๒๕๖๕ ก็ดำเนินการตามนั้นไปแล้ว ทรัพย์สินต่างๆ ก็ครบตามรายการที่มีอยู่ แต่พอจะให้มานับด้วยก็ไม่ยอมมานับด้วย ไปที่สน.ก็ให้จูงมือคุณแม่จูงมือพี่ชายมานับด้วยนะว่าครบมั้ย ซึ่งเราไปดูก็มีการตั้งกรรมการเรียบร้อย ซึ่งก็มีรายการตามที่จัดซื้อไปตอนนั้น”

นายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ เสริมว่า ขณะตรวจนับนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะทายาทเท่านั้น แต่เป็นอาจารย์แต่ละคณะร่วมกันตรวจสอบ 


ส่วนสาเหตุที่มีการให้นายกิตติในฐานะอธิการบดีไปแจ้งความนั้น นายกิตติบอกว่า “ผมก็บริสุทธิ์ใจ เพราะเห็นว่ามีพิรุธหรือข้อสงสัยจึงไปแจ้งความในฐานะอธิการบดี ว่า วัสดุอุปกรณ์ ๑๒ รายการผิดปกติอย่างไรบ้าง แต่พอแไปแจ้งความแล้วก็มีการคุยกันที่ สน.ตกลงว่าจูงมือแม่และพี่ชายมาช่วยกันนับทรัพย์สินเหล่านี้ แต่พอถึงวันแจ้งไปว่าเราจะนับและเชิญพี่ชายมาเป็นกรรมการด้วย เขาก็ไม่มา เราก็เลยดำเนินการตรวจนับทรัพย์สินเลยว่ามีตามรายการที่สงสัยหรือไม่ ซึ่งก็มีตามรายการ ผมจึงไปถอนแจ้งความ ผมยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นเดือนกว่าจะไปถอนแจ้งความ รายการที่ตรวจนับเป็นวัสดุอุปกรณ์ของคณะพยาบาลและคณะสาธารณสุขศาสตร์ เป็นพวกหุ่นพยาบาล และมีหนังสือเข้าห้องสมุด”

 

• สงสัย “ทำไมเพิ่งตรวจสอบ”
เมื่อสื่อมวลชนถามว่า ประเด็นนี้ คิดว่ามีช่องโหว่อะไรหรือไม่ นายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ กล่าวว่า โดยปกติทางมหาวิทยาลัย ถ้ามีการทดรองจ่าย แล้วเบิกไปซื้อ จะมีกำหนดเวลา ไม่ใช่ว่าทำทางตัวผู้เบิกจะเอาบิลไปเบิกได้เลย ต้องมีการเสนอราคา เขาเรียกทวนราคากับผู้ค้าก่อน แล้วเอาราคาผู้ค้าไปให้ผู้มีอำนาจสั่งจ่าย อธิการบดีขณะนั้น พอมีการกำหนดวัน เรื่องเงินทอนหรือทรัพย์สินไม่ได้ ต้องเคลียร์บิลภายใน ๗ วัน หากเคลียร์ภายใน ๗ วันไม่ได้ จะมีคณะกรรมการตามบิลตามเงินภายในประมาณ ๑ เดือน หากไม่มีหลักฐานส่วนนี้ คนที่จะดำเนินการไปก็จะถูกระงับเงินเดือน และมีการติดตามทวงถาม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๙ เพราะมหาวิทยาลัยต้องตรวจสอบทุกบิล ต้องมีการทำบัญชีรับจ่ายและส่งผู้สอบบัญชี หากตรวจสอบแล้วไม่มีข้อสงสัยก็ส่งเข้าสภามหาวิทยาลัยเพื่อรับรอง ที่ทางทายาทสงสัยประเด็นนี้เพราะว่า ทำไมปล่อยเวลาไว้ตั้งนานไม่ตรวจสอบ ทำไมจึงมาตรวจสอบระหว่างวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เพราะอะไร”

เมื่อถามว่า สังคมมองว่าเป็นการทะเลาะกันภายในพี่น้อง หรือคุณแม่กับลูก ทำไมจึงแรงขนาดนี้ถึงขั้นยอมกันไม่ได้ นายกิตติกล่าวว่า เราไม่ได้อยากทะเลาะกันอยู่แล้ว เวลาทำงานก็มีกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องปกติของทุกที่ แต่ในเรื่องนี้เราไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาลงกับพวกเราอย่างนี้ ทำไมต้องมาทำกับพวกเราเหมือนไม่ใช่พี่น้อง เหมือนตัดความสัมพันธ์ออกไป

“หากมีการพูดคุยกัน ก็พร้อมที่จะไป แต่ต้องไม่มีบุคคลอื่น ซึ่งก็คือคนนั้นแหละ ที่เป็นคนนอก” 

 

นายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ

 

ส่วนเรื่องพินัยกรรมนั้นนางปราณีบอกว่า อาจารย์มุขสติสัมปชัญญะดีทุกอย่าง ไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ ที่นำมาแถลงก่อนนี้เป็นคำสั่งแพทย์นั้นเป็นคำสั่งหรือใบจ่ายยา นายสมรัฐ อธิบายว่า “เป็นใบเวชระเบียนที่นำมาให้สื่อในการแถลงเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ซึ่งในนั้นบอกว่า ข้อมูลทางซ้ายมือเป็นข้อมูลญาติมาขอใบรับรองแพทย์ ส่วนฝั่งขวาเป็นใบรับรองแพทย์ ระบุไว้ว่า รับรองโรคสมองเสื่อม ไม่สามารถทำธุรกรรมหรือนิติกรรมได้ เป็นเวชระเบียนแต่มีระบุไว้ว่า ญาติมาขอใบรับรองแพทย์ไป คนที่ได้ไปผมก็ไม่รู้ว่าใคร ลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔”

นายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ เสริมว่าการสั่งจ่ายยาของแพทย์ การทำคำสั่งต่างๆ แม้แต่ใบรับรองแพทย์ จะออกจากใบเวชระเบียนเป็นสาระสำคัญ ซึ่งเวชระเบียนจะบอกทุกอย่าง และจะระบุว่าใครเป็นผู้ให้ถ้อยคำ ถ้าอาจารย์มุขมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ทำไมจึงไม่ให้การจากปากแพทย์เอง ทำไมคนอื่นเป็นคนให้การแทน ซึ่งเป็นวันที่ระบุก่อนทำพินัยกรรม (๒ กันยายน ๒๕๖๔)

 

• ถ่ายคลิปเป็นความทรงจำดีดี
สำหรับประเด็นที่ว่า อาจารย์มุขจำลูก ๓ คนนี้ไม่ได้เพราะไม่ค่อยเข้าไปหา นายกิตติ บอกว่า “ผมเข้าไปสัปดาห์ละประมาณ ๓ ครั้ง ไปวันเว้นวัน แต่ก่อนหน้านั้นผมไปทุกวัน เพราะผมต้องเอาเอกสารและเงินจากมหาวิทยาลัยไปส่งให้คุณแม่ทุกวัน เข้าไปทุกวันทักทาย  คุณพ่อปกติ แต่พอมีเรื่องก็เริ่มไปวันเว้นวัน โดนปิดล็อกบ้าง” ในขณะที่คลิปที่ออกมาบอกว่าเป็นการสร้างเรื่องจัดฉากนั้น นายกิตติบอกว่า “ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องนำมาใช้เป็นหลักฐานในศาล ผมถ่ายอากงกับหลาน พอหลานเกิดมาอากงก็ชมว่าน่ารัก หลานสวย อยากเก็บโมเมนต์ดีๆ ไว้ ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าจะเอามาใช้ตรงนี้” 

ส่วนประเด็นที่อาจารย์ปราณีบอกว่า ๓ คนไปอำเภอเพื่อไปดูทะเบียนสมรส แต่ไม่พบหลักฐาน ทำไมจึงต้องไปค้นที่อำเภอ นายสมรัฐกล่าวว่า “เนื่องจากช่วงนั้นจะมีการไปยื่นร้องให้คุณพ่อเป็นผู้ไร้ความสามารถเราต้องเอาหลักฐานเพื่อแสดงความเราเป็นลูกโดยชอบธรรมเพื่อเอาไปแสดงกับศาล” ในเรื่องนี้ นายกัมพล จรูญลัดดากุล ทนายความ เสริมว่า เนื่องจากทางเราจะไปยื่นเป็นผู้อนุบาลผู้ไร้ฯ ถ้าไปยื่นต้องยืนยันว่าเราเป็นลูกโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตามกฎหมายบุตรจะเป็นบุตรโดยชอบธรรมของหญิง แต่ฝ่ายชายจะชอบด้วยกฎหมายก็ต่อเมื่อมีการจดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้ามีทะเบียนสมรสแต่มีการไปแจ้งเกิดก็ยังไม่ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงต้องมีการดำเนินการคัดถ่ายในส่วนนี้ เพื่อที่จะนำไปยืนยันว่าทางเราเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ถ้าไม่เช่นนั้นก็ต้องดำเนินการ ๒ ขั้นตอน ขั้นแรกคือต้องร้องให้เป็นบุตรโดยชอบก่อน ขั้นสองเมื่อเป็นบุตรโดยชอบแล้วจึงจะไปร้องขอเป็นผู้อนุบาลได้

 

• อยากให้คงเสา ๔ ต้นไว้
เมื่อถามว่า อาจารย์ปราณีจะยกมรดกให้ทายาทคนโตทั้งหมด มีความรู้สึกอย่างไร นายสมรัฐบอกว่า “อยากย้ำว่า คุณพ่อพูดเสมอว่าให้ช่วยกัน ต้องช่วยกัน เรามีเสา ๔ ต้น คงหลักนี้ไว้ก่อน เสา ๔ ต้นไว้ค้ำจุนบ้าน ท่านให้อยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ได้ ทุกคนจะต้องเท่าเทียมกัน แต่จากพินัยกรรมที่ออกมาคิดว่าเท่ากันไหม” อาจารย์ปราณีบอกว่า ปลวกกินเสา ๓ ต้นจึงเหลือแค่เสาต้นเดียว ในประเด็นนี้ นายสมรัฐ กล่าวว่า ในการบริหารงานคุณพ่อจะเป็นหัวเรือใหญ่ ผมจะช่วยอยู่ที่ ช.พ.น. เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ มีคุณพ่อเป็นผู้จัดการ ตั้งแต่ปี ค.ศ.๒๐๑๐ ช่วยทุกอย่าง ท่านจะไม่ลงมาดูเอง แล้วผมก็เป็นอาจารย์สอนที่คณะบริหารธุรกิจ ม.วงษ์ ทำควบคู่กันไป แต่ส่วนมากจะอยู่ที่ช.พ.น. ไป ม.วงษ์แค่แวะไปสอน สัปดาห์ละครั้งสองครั้ง ครั้งละ ๓ ชม. 

นายกิตติ บอกว่า ผมกลับมาพร้อมพี่ชาย (นายสมรัฐ) ในปี ๒๐๑๐ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่โรงเรียนเกียรติคุณวิทยา และเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยด้วย หลังจากนั้นปี ๒๕๕๘ ก็เป็นรองอธิการบดีฝ่ายบริหารที่ม.วงษ์ ปี ๒๕๖๑ เป็นอธิการบดี จนถึงมีนาคม ๒๕๖๕ ผมลาออกจากการเป็นอธิการบดี ซึ่งระหว่างที่เป็นรองอธิการบดีและอธิการบดีก็ยังสอนนักศึกษาด้วย ไม่ได้ละเลยการสอน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นอาจารย์สอนอยู่ ส่วนเรื่องที่ระบุว่ามีบุคลากรลาออกนั้น เรื่องลาออกถือเป็นเรื่องปกติ เป็นสิทธิ์ของเขา ไม่มีแบบยกทีมออกลาออกเพื่อไปหางานใหม่ มีทางที่ดีกว่าก็ต้องไป

 

ทางด้านนายจักริน กล่าวว่า “ตอนเรียนจบผมไม่ได้เข้ามาทำงานที่มหาวิทยาลัย ผมขอคุณพ่อว่าอยากไปทำงานที่บริษัทข้างนอกก่อน อยากใช้ความรู้ที่เรียนมาด้านวิศวกรรมศาสตร์ โดยไปทำงานในบริษัทญี่ปุ่นประมาณ ๔ ปี เปลี่ยนงาน ๒ ที่ จริงๆ ก็อยากทำงานหาประสบการณ์ข้างนอกต่อ แต่คุณพ่อโทรมาวันเว้นวัน โทรมาค่อนข้างบ่อย บอกว่ากลับมาได้แล้ว กลับมาช่วยกัน มาช่วยกันทำงานหาตังค์ดีกว่า ผมก็ตัดสินใจทำตามที่คุณพ่อต้องการ จึงลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาทำงานมหาวิทยาลัย เป็นรองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์”

• ผู้หญิงที่ทำท้องก็คือเมีย
ส่วนประเด็นที่คุณแม่บอกว่า ลูกดีตอนที่ยังไม่มีครอบครัว แต่เมื่อมีครอบครัวแล้วเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ของลูกสะใภ้กับแม่สามีเป็นอย่างไร นายสมรัฐกล่าวว่า “ภริยาของผมก็ทำงานมาด้วยกันกับคุณแม่ก็ไม่มีปัญหา กลับชอบด้วยซ้ำ ทำคู่กันด้วย ยกภาระให้ทำเลย แต่ก็มามีเรื่องที่ว่ามีคอร์รัปชั่นกัน คือเรื่องซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่ซื้อตั้งแต่ปี ๒๕๕๙ ผ่านมาถึงปี ๒๕๖๔ ค่อยมาตรวจ ถ้ามีปัญหาจริงๆ ทำไมไม่ตามภายใน ๑ เดือน ปล่อยมาตั้ง ๓-๔ ปี พยายามจูนเข้าหากันแต่ระยะหลังคุณแม่ก็มีหลายอย่างรุมเร้า และภริยาผมก็ท้องจึงเอาตัวเองออกมา ซึ่งภริยาของผมนั้นคุณพ่อก็ชอบเพราะเรียนจบบัญชีสายตรงจึงให้มาคุมแทน คนที่โดนให้ออกไปก็อาจจะไม่แฮปปี้ น่าจะเริ่มจากตรงนั้น” ส่วนภริยาของนายกิตติและนายจักรินทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ได้เข้ามามีบทบาทในสถานศึกษา 

ในประเด็นที่นางปราณีว่า นายจักรินไปทำผู้หญิงท้องจนต้องตามไปแก้ปัญหานั้น นายจักรินชี้แจงว่าผู้หญิงที่ท้องก็คือภริยาของผม ตอนนี้มีลูกด้วยกัน ๒ คน และเงินสองล้าน ลูกทุกคนก็ได้ เพราะเป็นค่าสินสอด ทั้ง ๔ คนก็จะได้ ส่วนเงิน ๖๐ ล้านผมก็ยังสงสัยว่ามาจากไหน”

 

• ไม่โกรธแม่แค่ขอทวงสิทธิ์ของพ่อ
เมื่อถามได้ฟังการแถลงของคุณแม่ในวันนี้แล้วรู้สึกอย่างไร รวมทั้งที่แม่บอกว่าเนรคุณ นายสมรัฐกล่าวว่า “ไม่โกรธท่าน เนื่องจากท่านอายุมาก และสภาวะแวดล้อมคือคนนอกที่คอยมายั่วยุอยู่ ผมไม่โกรธ เพราะตัวท่านอายุ ๘๐ แล้ว ผมเข้าใจ ยังรักและเคารพท่าน แต่สิ่งที่ท่านแถลงก็ไม่ผิดไปจากที่ผมคาดไว้เท่าไหร่นัก ซึ่งในการออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนในครั้งนี้ พวกผมมาทวงสิทธิ์ของคุณพ่อ ส่วนสิทธิ์ของคุณแม่จะทำอะไรก็ทำไป ผมแค่รักษาสิทธิ์ของคุณพ่อที่ท่านทำมา เจตนารมณ์ของท่านที่จะให้ลูกทุกคนให้หลานทุกคน ซึ่งถ้ามีการเรียกไปคุยก็ยินดีมาก” 

“คุณพ่อวางไว้ดีแล้วใน ๓ สถานศึกษาว่าให้ลูกแต่ละคนทำอะไร แต่ตอนนี้ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของท่าน จึงมาขอทวงสิทธิ์ของท่าน ส่วนงานถ้ายังให้สอนก็สอนอยู่”
ในส่วนของการที่ต้องทำสัญญาทำงานและสแกนนิ้วเข้าออกเพื่อทำงานนั้น นายกิตติบอกว่า “ตอนคุณพ่ออยู่ ในส่วนของลูกจะไม่มีการสแกนนิ้ว ไม่มีการทำสัญญา เราเป็นลูก” ซึ่งนายสมรัฐเสริมว่า “ท่านบอกว่าเป็นของเราอยู่แล้ว ยังไงพวกเอ็งก็ต้องทำ พวกเอ็งจะทิ้งได้ไง” 

เมื่อสื่อมวลชนถามว่า แล้วใครเป็นคนเปลี่ยนระบบ นายสมรัฐกล่าวว่า “อธิการบดีคนใหม่ ซึ่งเรื่องการเซ็นสัญญาการทำงานเริ่มประมาณเดือนกันยายน ๒๕๖๖ มีหนังสือมาตาม ผมก็ไม่ได้ไป เพราะคุณพ่อเคยบอกแล้วว่าเป็นของเรา ถ้าสแกนก็ต้องเข้า ๘ โมงแล้วก็อยู่รอเช็คเอาท์ ซึ่งผมต้องทำงานที่ช.พ.น.แล้วต้องมาสอนที่ม.วงษ์ฯ ซึ่งทุกวันนี้พวกเราก็ถูกระงับเงินเดือน ไม่ได้รับเงินเดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๖๖”

ท้ายสุดทายาททั้งสามคนย้ำว่า “ยังรักและเคารพแม่เหมือนเดิม แม่จะพูดอะไรว่าอะไรก็ไม่เคยโกรธ”


ทั้งนี้ หากเรื่องนี้มีความคืบหน้า “โคราชคนอีสาน” จะนำเสนอในโอกาสต่อไป

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๙ ฉบับที่ ๒๗๖๒ วันที่ ๑๕ เดือนกุมภาพันธ์ - วันที่ ๑๔ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๖๗


107 2,304