25thApril

25thApril

25thApril

 

February 09,2016

‘แสนสิริ’ยิ้มยอดขายโต ๒๒๒% ปีนี้ลุย ๒๑ โครงการ ๕๐,๕๐๐ ล.

          ‘แสนสิริ’ สรุปผลการดำเนินงานปี ๒๕๕๘ มียอดขายกว่า ๒๘,๕๑๒ ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง ๒๒๒% จากปีก่อน ขณะที่คาดการณ์รายได้พุ่งทะลุ ๓๘,๐๐๐ ล้านบาท พร้อมเผยแผนธุรกิจปี ๒๕๕๙ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ ๒๑ โครงการ มูลค่า ๕๐,๕๐๐ ล้านบาท เน้นตลาดไฮเอนด์ และเตรียมแผนเปิดตลาดใหม่ในจีน วางเป้ายอดขาย ๔๒,๐๐๐ ล้านบาท

          เมื่อเร็วๆ นี้ นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจปี ๒๕๕๘ ว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI มียอดขาย (pre-sale) ประมาณ ๒๘,๕๑๒ ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง ๒๒๒% จากปีก่อน ที่มียอดขาย ๘,๘๐๐ ล้านบาท จากความสำเร็จทั้งจากการร่วมทุนกับบีทีเอส (BTS) ตามแผนความร่วมมือในระยะ ๕ ปี ที่แสนสิริและกลุ่มบีทีเอสมีแผนพัฒนาคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทร่วมทุนจำนวน ๒๕ โครงการ มูลค่าโครงการรวม ๑ แสนล้านบาทในช่วง ๕ ปี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ ๒ องค์กรที่มีความพร้อมและเสริมสร้างความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน ด้วยความสำเร็จจากการขายคอนโดมิเนียมหมดอย่างรวดเร็วในวันเดียวทุกโครงการที่เปิดในปีที่ผ่านมา ทั้งโครงการเดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า และโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส (BTS) ในแบรนด์ “เดอะ ไลน์” ทั้ง ๓ โครงการ ได้แก่ เดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท ๗๑ และ เดอะ ไลน์ ราชเทวี รวมทั้งการที่ลูกค้าให้การตอบรับโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ (Ready to Move in) เป็นอย่างดีต่อเนื่องทำให้รับรู้รายได้ทันทีในปีที่ผ่านมา

          นายเศรษฐา เผยต่อไปว่า ขณะที่บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวมในปี ๒๕๕๘ ประมาณ ๓๘,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งนับเป็นรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่แสนสิริเคยทำได้ โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขาย รวมกับการที่บริษัทฯ เริ่มมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ซึ่งนับเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิริ ทั้งนี้ รายได้ที่ดีในปีที่ผ่านมาเติบโตโดดเด่นจากการทยอยรับรู้รายได้ของโครงการคอนโดมิเนียมที่ทยอยโอนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงความสำเร็จจากการเปิดการขายโครงการแนวราบต่างๆ อาทิ โครงการเศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า, เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา และฮาบิเทีย โมทีฟ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จจากการเปิดตลาดต่างชาติที่ได้รับการตอบรับอย่างดี จากเดิมที่มีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยอดขายรวมในแต่ละปี เกิดจากแผนการรุกตลาดต่างชาติที่บริษัทเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในเรื่องของการทำการตลาดมาอย่างต่อเนื่องในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา อาทิ การตั้งทีม International Marketing ที่ทำหน้าที่ดูแลตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะ การแสวงหาตลาดด้วยการจับมือกับพันธมิตรเอเจนท์ต่างชาติต่างๆ รวมทั้งการออกโรดโชว์ในต่างประเทศ อีกทั้งยังพาตัวแทนเอเจนท์ต่างชาติเข้าเยี่ยมชมโครงการต่างๆ ของแสนสิริ การทำกิจกรรมโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อต่างประเทศ และกิจกรรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนหอการค้าต่างประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

          “จึงส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำยอดขายจากตลาดต่างชาติได้ถึง ๓,๕๐๐ ล้านบาท สูงกว่าปี ๒๕๕๗ ถึง ๑๓๕% โดยสัดส่วนลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชีย ๘๓% (ญี่ปุ่น, ฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเลเซีย, จีนและไต้หวัน) ยุโรป (รัสเซีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ออสเตรเลีย, เนเธอร์แลนด์และอิตาลี เป็นต้น) ๑๑%, สหรัฐอเมริกา ๔% และอื่นๆ สำหรับโครงการที่ขายดีสำหรับต่างชาติ คือ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท ๗๑ มีสัดส่วนยอดขายลูกค้าต่างชาติประมาณ ๔๘% และเดอะไลน์ จตุจักร – หมอชิต ๑๕%  ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสอดคล้องและเป็นไปตามแผนงาน “การสร้างพื้นฐานที่มั่นคง เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถให้ แสนสิริ เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว” ทั้งการมองหาการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ และแสวงหาตลาดใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ดังที่ได้เคยกล่าวไว้” นายเศรษฐา กล่าว

          นายเศรษฐา มองว่า สำหรับปี ๒๕๕๙ นับเป็นความท้าทายของแสนสิริในการสร้างยอดขายและรักษาผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ในสภาวะทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศที่ทรงตัว โดยบริษัทฯ ได้วางแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบรับความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ ๒๑ โครงการ มูลค่า ๕๐,๕๐๐ ล้านบาท โดยมูลค่าโครงการที่เปิดในปีนี้สูงขึ้นกว่าปีก่อน ๑๒๘% แบ่งเป็น มูลค่าโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในสัดส่วน ๙๒% : ๘% โดยโครงการในต่างจังหวัดจะเป็นโครงการที่มีการพัฒนาในเฟสต่อเนื่องและพัฒนาจากที่ดินที่แสนสิริเคยซื้อไว้เดิม ทั้งนี้ บริษัทได้แบ่งประเภทการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ๑๑ โครงการ โครงการบ้านเดี่ยว ๗ โครงการ และโครงการทาวน์เฮาส์ ๓ โครงการ หากดูตามเซกเมนต์ หรือระดับราคาจากแผนเปิดตัวโครงการในปีนี้จะอยู่ในระดับ medium–end และ hi–end เป็นส่วนใหญ่ อาทิ คอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อตารางเมตร ประมาณ ๑๔%, คอนโดมิเนียมระดับราคา ๑๐๐,๐๐๐-๒๐๐,๐๐๐ บาทต่อตารางเมตร ประมาณ ๓๔% และคอนโดมิเนียมระดับราคามากกว่า ๒๐๐,๐๐๐ บาทต่อตารางเมตร ประมาณถึง ๕๒%, บ้านเดี่ยวระดับราคาต่ำกว่า ๕ ล้านบาท ๑๓%, บ้านเดี่ยวระดับราคา ๕.๑-๑๐ ล้านบาท ถึง ๕๖% และบ้านเดี่ยวระดับราคา ๑๐.๑ ล้านบาท ๓๒% และทาวน์เฮาส์ ระดับราคา ๓.๑-๗ ล้านบาท ๖๗% และมากกว่า ๗ ล้านบาท ๑๔% โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมสำหรับปี ๒๕๕๙ ไว้ประมาณ ๔๒,๐๐๐ ล้านบาท เติบโตจากปี ๒๕๕๘ ซึ่งได้ยอดขาย ๒๘,๕๑๒ ล้านบาท ประมาณ ๕๐% รวมทั้งประมาณการณ์รายรวมได้ไว้ที่ ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท

          สำหรับแนวทางการพัฒนาโครงการในปี ๒๕๕๙ นายเศรษฐา กล่าวสรุปว่า ๑. บริษัทฯ จะมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาในเชิงลึกในจุดเด่นที่บริษัททำได้ดี ทั้งในเรื่องแรก คือการตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนที่บริษัทมองว่ายังมีโอกาส รวมทั้งการปูพื้นฐานความน่าเชื่อถือและความเป็นแบรนด์สากลระดับโลกกับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยการสานต่อความสำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องอีกจำนวน ๖ โครงการ มูลค่ากว่า ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท ๒. บริษัทฯ จะมีการบริหารแบรนด์ที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์แสนสิริอย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นผลมาจากการที่บริษัทได้ศึกษาแบรนด์ portfolio ของตัวเองใน ๒-๓ ปีที่ผ่านมา โดยจะใช้ศักยภาพของตัวโครงการเองในการสร้างความน่าสนใจให้กับผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ไม่มีความจำเป็นในการเปิดแบรนด์ใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ความสำเร็จจากการเปิดตัวโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ เดอะ ไลน์ ทั้ง ๓ โครงการที่ผ่านมาในช่วงปีเดียว ที่ทำให้บริษัทฯ สามารถปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องใช้ในการสร้างแบรนด์ใหม่ได้อย่างดี ๓. บริษัทฯ จะมีการเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเพื่อรองรับความต้องการคอนโดมิเนียมในระดับพรีเมี่ยมของกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งมีความต้องการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยเอง ลงทุนหรือเก็บเป็นสินทรัพย์

          ๔. การเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้นนี้จะสอดคล้องกับการรุกทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้จะมีการเปิดตลาดในจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มเติมจากที่บริษัทได้เริ่มต้นและประสบความสำเร็จในภูมิภาคใกล้เคียงมาแล้วอย่างในฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าตลาดระดับบนยังคงมีความต้องการและแข่งขันได้ โดยจะมีการทำการตลาดในระดับ International เพื่อสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน รวมทั้งโปรโมตโครงการระดับบนแก่ลูกค้าต่างชาติและลูกค้าไทยระดับบนอย่างต่อเนื่องจากที่เริ่มทำมาแล้วในปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้นจากการที่บริษัทฯ พยายามจับกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างชาติมากขึ้น การทำ Collaboration กับแบรนด์ระดับโลก เพื่อยกระดับแบรนด์แสนสิริให้เข้าสู่ระดับ International มากยิ่งขึ้นก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะถึงแม้แบรนด์แสนสิริจะแข็งแกร่งมากในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศ แต่ต้องยอมรับว่าในระดับต่างประเทศ แสนสิริจะได้เปรียบมากยิ่งขึ้น หากเลือกจับมือกับพันธมิตรระดับโลกที่เหมาะกับแบรนด์แสนสิริในเรื่องต่างๆ อันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่างชาติเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้ประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดขาย ๓,๕๐๐ ล้านบาท และ ๕. ในไฮไลท์ที่ทุกคนรอคอยมาหลายปี ในปีนี้แสนสิริยังเตรียมเปิดตัว flagship project ของแสนสิริบนถนนวิทยุ กรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นโครงการที่พรีเมี่ยมที่สุดและราคาต่อตารางเมตรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในทันที

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒๓๔๒ วันจันทร์ที่ ๑ - วันศุกร์ที่  ๕ เดือนกุมภาพันธ์  พุทธศักราช  ๒๕๕๙


701 1343