19thApril

19thApril

19thApril

 

May 26,2017

วิ่งโร่พึ่งศูนย์ดำรงธรรม อ้างอิทธิพลข่มขู่ขับไล่ ต้องหอบลูกเมียหนีตาย


นายสมภพ มุกดาสนิท ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา รับเรื่องร้องเรียนจากนายสนั่น ปริสาวงส์ อ้างถูกผู้มีอิทธิพลขมขู่ 

                อ้างตัวเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านร้องศูนย์ดำรงธรรมฯ ว่า ถูกอดีตกำนันและพวกใช้อิทธิพลชักปืนข่มขู่ ยิงบ้าน ทำร้ายร่างกาย แถมขับไล่ให้ออกจากที่ดิน ไม่หวั่นเกรงกฎหมาย พร้อมแฉวิธีการจับจองและขายที่ดินซ้ำซ้อน ด้าน “สุนทร แพงไพรี” ผู้มีชื่อร่วมขบวนการ ยืนยันไม่ได้กระทำ แต่ล่าสุดกลับนำอดีตกำนันไปแจ้งความนสพ. ปฏิเสธไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพล  อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องhttp://www.koratdaily.com/blog.php?id=5464

                เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ของวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา นายสนั่น ปริสาวงศ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๔ ตำบลหนอง หัวแรต อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา พร้อมภริยาคือ น.ส.วาริน ณะศิริ ได้เข้าร้องเรียนและติดตามเรื่องขอความคุ้มครองจากกระทรวงยุติธรรม ซึ่งอ้างว่า เคยยื่นเรื่องไปแล้ว กรณีถูกผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นรังแก ข่มขู่ โดยนายสนั่น ปริสาวงส์ นำเอกสารมาร้องเรียนและยื่นต่อศูนย์ดำรงธรรมฯ ซึ่งในเอกสารระบุว่า กลุ่มผู้มีอิทธิพลดังกล่าวปรากฏชื่อนายณรงค์ เลิศกิ่ง อดีตกำนันตำบลไชยมงคล สำหรับการมายื่นเรื่องในวันนี้มีนายสมภพ มุกดาสนิท ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมนครราชสีมา พร้อมด้วยพ.ท.ประยูร จุลสม หัวหน้าส่วนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มทบ.๒๑ และ พ.ต.ท.โชษติอัตถ์ จันทศร รองผกก.หัวหน้าสอบสวน สภ.เฉลิมพระเกียรติ ปฏิบัติงานศูนย์ดำรงธรรม ร่วมรับฟัง โดยมีสื่อมวลชนอื่นๆ และ Koratdaily Online ร่วมรายงาน

ร่ายรายละเอียดร้องเรียน

                โดยในเรื่องนี้ นายสนั่นอ้างว่า ได้เขียนร้องทุกข์ตามหน่วยงานต่างๆ มาแล้ว รวมทั้งนำมายื่นต่อศูนย์ดำรงธรรมฯ ในวันนี้ด้วย โดยข้อความในเอกสารระบุว่า “กระผมนายสนั่น ปริสาวงศ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑๔ ตำบลหนองหัวแรต อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา ถูกผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นรังแก ข่มขู่ เรื่องมีอยู่ว่า เดิมผมเป็นคนจังหวัดสุโขทัย แต่มีเมียอยู่โคราช จึงมาอาศัยอยู่ที่โคราช เมื่อปี ๒๕๓๑ ต่อมานายณรงค์ เลิศกิ่ง ได้ชักชวนให้ผมมาทำงานด้วย โดยให้ช่วยซ่อมรถเสียที่ไปลากมาจากที่ต่างๆ บ้าง บางครั้งก็ให้ทำไร่ทำสวน โดยเหมาจ่ายเป็นครั้งประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ บาท ต่อมาอดีตกำนันได้ให้มาสร้างบ้านอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าซึ่งเป็นป่า โดยอดีตกำนันได้ตกลงแบ่งที่ดินให้ และต่อมาผมซื้อที่ดิน ๑๐ ไร่จากอดีตกำนันในราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งที่ดินนี้ผมได้ถางป่าเพื่อสร้างบ้านและปลูกข้าว ปลูกมะนาว มาประมาณ ๑๐ กว่าปีแล้ว เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับครอบครัวผม โดยนายณรงค์ เลิศกิ่ง อดีตกำนัน พร้อมนายทัด เลิศกิ่ง, นายอัดพล ล้ำเลิก หรือนายโทน และนายสุนทร แพงไพรี และลูกน้องอีก ๔ คน ได้ขับรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ เลขทะเบียน ขจ ๒๓๗๕ นครราชสีมา พร้อมรถสีดำอีกหนึ่งคันแต่ไม่ทราบเลขทะเบียน ได้เข้ามาบ้านพักผมและมาข่มขู่ผมและภริยา ให้ออกจากที่แปลงนี้ภายใน ๕ วัน ซึ่งผมและครอบครัวไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เพราะอยู่กินมาเป็น ๑๐ ปี และลูกทั้งสองก็ยังเล็ก โดยคนโตอายุ ๗ ปี คนเล็ก ๓ ปี และเรียนหนังสืออยู่แถวหมู่บ้าน ผมจึงไม่ได้ย้ายออกตามคำข่มขู่”

                เอกสารของนายสนั่นยังระบุอีกว่า “จากนั้นเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙ รถคันเดิมมาจอดที่หน้าบ้านผมอีก และนายโทนชักปืนออกมายิงขู่ที่หน้าบ้าน ๑ นัด และได้กราดยิงเข้าไปในบ้านอีกประมาณ ๖ นัด ซึ่งขณะนั้นมีน.ส.เพียรใจ บุญชู เพื่อนบ้านกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้าน นายโทนได้เดินเข้าไปและใช้เท้าเตะถาดซึ่งใช้วางกับข้าว ซึ่งนายโทนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมียตน และจะใช้ปืนจ่อยิงนางสาวเพียรใจ แต่มีเสียงคนที่มาด้วยบอกว่า “อย่ายิงพี่คนนี้ไม่ใช่เมียไอ้หนั่น” ซึ่งช่วงนั้นภรรยาผมได้ออกไปซื้อกับข้าวกับลูกทั้งสอง และเมื่อกลับถึงบ้านนายโทนก็ได้เดินมายังเมียของผม ที่กำลังจะจอดมอเตอร์ไซค์ และมีลูก ๒ คนซ้อนท้าย นายโทนได้ตบหน้าน.ส.วาริน ๑ ครั้ง และเอาปืนจ่อจะยิง แต่ลูกน้องนายโทนห้ามไว้ และนำปืนไปเก็บในรถ จากนั้นนายโทนก็เดินมาผลักน.ส.วาริน ล้มลงพร้อมรถมอเตอร์ไซค์ และลูกทั้ง ๒ นายโทนได้กระชากผมน.ส.วาริน พร้อมตะโกนถามว่า “ไอ้หนั่นอยู่ไหน” ซึ่งน.ส.วารินก็ไม่รู้ว่าสามีไปไหน หลังจากนายโทนเดินออกไปข้างนอก น.ส.วารินจึงรีบโทรหาตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง หลังจากโทรแจ้งตำรวจ นายโทนบอกว่า “กูไม่กลัวหรอก เดี๋ยวกูโทรหานายใหญ่กู” และได้ขับรถออกไปกับพรรคพวก”

อ้างตร.ช่วยไม่ได้โร่แจ้งศูนย์ดำรงธรรม

                ในเอกสารของนายสนั่นยังกล่าวอ้างอีกว่า “หลังจากตำรวจมาตรวจเหตุการณ์ที่บ้าน กลุ่มนายโทนก็ได้ขับรถคันเดิมกลับมาอีก และทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกหลักฐานถ่ายรูป และได้เก็บปลอกกระสุนไว้ ๓ ปลอก บริเวณหน้าบ้าน แต่บริเวณภายในบ้านหาไม่พบ สันนิษฐานว่าคงกระเด็นตกสระน้ำ นายสนั่นยังได้เผยอีกว่า ตำรวจได้ถามนายโทนว่า นำปืนไปเก็บไว้ไหน นายโทนตอบว่าเอาไปเก็บไว้แล้ว ตำรวจก็เฉยและไม่ได้ถามอะไรต่อ และทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้ทางผม และนายโทนไปคุยที่สถานีโพธิ์กลาง ซึ่งนายโทนก็ยังมาขู่ น.ส.วาริน อีกว่า ถ้ากูติดคุกจะฆ่าพวกมึงทุกคน ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ภรรยาได้โทรไปเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟัง จึงได้รีบมาสถานีโพธิ์กลาง เมื่อไปถึงก็ได้พบนายโทนกับพรรคพวกเดินเข้ามา กระชากคอเสื้อ พยายามจะทำร้าย นายสนั่นได้พูดไปว่า “นี่ขนาดอยู่ในโรงพักผมยังไม่มีความปลอดภัย ผมจะไปพึ่งใครได้ทั้งๆ ที่ตำรวจอยู่ในเหตุการณ์ตั้งหลายนาย แต่ไม่ห้ามปรามนายโทนสักนาย”

                โดยในเอกสารของนายสนั่นยังระบุต่อไปอีกว่า “พนักงานสอบสวนที่ได้รับเรื่องขณะนั้น คือ พ.ต.ท.ประยุทธ แพปรุ ได้แจ้งกับผมว่าให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น คดีที่แจ้งมานั้นไม่มีหลักฐานเพียงพอจะเอาผิดกับนายโทนและผู้สั่งการได้ เพียงแต่ลงบันทึกประจำวันไว้ สิ้นสุดจากสถานีโพธิ์กลาง ผมได้ทราบจากเพื่อนบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ว่า ถูกขู่ไม่ให้มาเป็นพยานให้กับผม ผมวิตกเป็นอย่างมาก เกรงว่าตำรวจจะไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมและภรรยาจึงได้ไปแจ้งศูนย์ดำรงธรรม ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ทางศูนย์ดำรงธรรมแนะนำให้ผมไปแจ้งความใหม่ เพราะถือเป็นคดีอาญา หากนายตำรวจคนไหนไม่รับแจ้ง ให้ดูป้ายชื่อและแจ้งมายังศูนย์ฯ จากนั้นผมจึงกลับไปแจ้งความและแจ้งความกับร้อยเวรคนเดิม คือ พ.ต.ท.ประยุทธ แพปรุ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้รับคดีไป เวลาผ่านไป ๒๐ วัน ผมได้กลับไปสอบถามคดีว่าไปถึงไหน ซึ่งตำรวจได้ตอบว่า จับกุมตัวผู้ต้องหาแล้วและผู้ต้องหาก็ได้ประกันตัวออกไปแล้ว ขณะนี้เรื่องอยู่ที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ภายหลังศาลนัดไปสืบพยานในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ โดยศาลได้ตัดสินว่า ใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ”

อ้างถูกบุกรุกรื้อบ้าน

                นอกจากนี้ ในเอกสารของนายสนั่นยังมีข้อความระบุอีกว่า “นายโทนเป็นลูกของนายณรงค์ อดีตกำนันผู้มีอิทธิพล และหลังจากนั้นไม่กี่วัน นายทอน แพงไพรี กับพวก ได้นำรถแบ็คโฮมารื้อบ้านผม และสวนมะนาววงบ่อที่ปลูกไว้ ๒๐๐ ต้น และทำรั้วล้อมรอบบริเวณบ้านผมไว้ ซึ่งนายทอนอ้างว่า ที่ดินนี้ซื้อมาจากนายณรงค์ ๒๐๐ ไร่ เสียเงินไป ๑๐ ล้าน ที่ตรงนี้ไม่ใช่ของนายณรงค์ เพราะผมซื้อที่จากนายณรงค์เช่นกัน หลังจากวันนั้นชายกลุ่มเดิมได้กลับมารื้ออาคารที่ผมจัดเป็นที่ประชุมเกษตรกร รวมถึงข้าวของทุกอย่างกระจัดกระจายหมด ผมโทรไปแจ้งตำรวจ คนเหล่านั้นจึงได้วิ่งหลบหนีไป ซึ่งช่วงนั้นนายทอน แพงไพรี ได้พยายามโทรมาเจรจากับผม เพื่อต่อรองจะชดใช้ค่าเสียหายที่ได้รื้อบ้าน ว่าจะชดใช้ให้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้ถอนแจ้งความ และไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากผมไม่ยอมจะใส่ร้ายว่าเป็นพ่อค้ายาบ้า และมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง ซึ่งผมก็ไม่กลัว  คำขู่เพราะผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย”

แฉข้อมูลการได้มาของที่ดิน

                เอกสารของนายสนั่นยังอ้างถึงการได้มาในที่ดินของนายณรงค์ว่า “นายณรงค์จะใช้วิธีขายที่ดินขายแล้วขายอีก คือขายให้คนที่ ๑ ไปแล้ว ต่อมาก็นำที่ดินแปลงเดิมไปขายให้กับคนที่ ๒ ขายซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่วนอีกวิธีคือ นายณรงค์จะใช้ให้ผมไปไถที่ของคนอื่น ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่าเป็นที่ดินของนายณรงค์ ก็ไปไถให้ตามที่บอก แต่ก็มีเจ้าของที่มาสั่งให้หยุดไถเพราะเป็นที่ของเขา และมีอีกหลายรายที่นายณรงค์ให้ผมไปไถที่ บางรายกลัวอิทธิพลไม่กล้าแจ้งความ ต้องยอมยกที่ไป ภายหลังผมไม่ทำตามที่นายณรงค์สั่ง เพราะมันไม่ถูกต้อง ทำให้นายณรงค์ไม่พอใจ หลังจากนั้นนายณรงค์ก็ได้ส่งลูกน้องมาข่มขู่ กระทั่งล่าสุด ที่กราดยิงเข้าไปในบ้านและตบหน้าเมียผม ผมและครอบครัวอยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปอยู่ที่อื่น นายณรงค์แจ้งความเอาผิดผม หาว่าปลอมแปลงลายมือชื่อนายณรงค์ในการซื้อขายที่ดิน ทั้งๆ ที่การซื้อขายที่ดินนายณรงค์มอบอำนาจให้ผมดำเนินการ ตามสำเนาใบมอบอำนาจที่แนบมานี้ โดยทางโรงพักโพธิ์กลางออกหมายเรียกผมถึงสุโขทัย ทุกครั้งผมก็ไป แต่ตำรวจก็บอกให้ผมยอมรับสารภาพ จากหนักจะกลายเป็นเบา ซึ่งผมไม่ยอม เพราะไม่ได้ปลอมลายเซ็น เมื่อวันที่ ๔ เมษายนที่ผ่านมา ผมก็ไปขึ้นศาลมาแล้ว ตอนนี้อยู่ในระหว่างประกันตัว” 

ศูนย์ดำรงธรรมไม่นิ่งเฉย

                ภายหลังจากการรับเรื่องจากนายสนั่นแล้ว นายสมภพ มุกดาสนิท ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา, พ.ท.ประยูร จุลสม หัวหน้าส่วนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มทบ.๒๑ และพ.ต.ท.โชษติอัตถ์ จันทศร รองผกก.(สส.) สภ.เฉลิมพระเกียรติ ปฏิบัติงานศูนย์ดำรงธรรมฯ ได้ร่วมรับฟัง และกล่าวว่า มีการติดตามเรื่องที่นายสนั่นขอความคุ้มครองจากกระทรวงยุติธรรมแล้ว ซึ่งขณะนี้เรื่องมาถึงสำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครราชสีมาแล้ว ในเรื่องของคดีความก็ได้เข้าสู่กระบวนการศาลแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูแลความปลอดภัยให้ โดยเจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ ที่เข้ารับฟัง รับประกันจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ และหากมีปัญหา สามารถให้นายสนั่นติดต่อโดยตรงทันที

วอนพยาน/ผู้เสียหายรายอื่นช่วย

                ทั้งนี้ ภายหลังยื่นเรื่องต่อศูนย์ดำรงธรรมฯ แล้ว นายสนั่น ปริสาวงส์ เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ต้องการให้สื่อมวลชนช่วยเผยแพร่เรื่องราวของกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ และอยากให้ผู้เสียหาย รวมทั้งพยานรายอื่นๆ เข้ามาร้องเรียน แจ้งความ ทวงความถูกต้อง อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล เพราะหากไม่ช่วยกัน จะมีผู้เคราะห์ร้าย ชาวบ้านธรรมดาๆ จะเดือดร้อนอีกมาก ซึ่งตนได้ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งผู้ว่าฯ รวมถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เจ้าของรายการ ‘ชูวิทย์ตีแสกหน้า’ ทางสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลไทยรัฐ ด้วย

สุนทร’แย้งไม่เป็นความจริง

                เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ “โคราชคนอีสาน” สอบถามไปยังนายสุนทร แพงไพรี ที่ปรึกษา อบต.บ้านใหม่ ผู้ที่นายสนั่นระบุถึงในเอกสารร้องเรียน โดยนายสุนทรเปิดเผยว่า “ข้อเท็จจริงนั้น นายสนั่นไม่ใช่คนในพื้นที่ เป็นคนเร่ร่อน พื้นเพมาจากสุโขทัย และได้รับคำชักชวนจากกำนันณรงค์ให้มาทำงาน เป็นลูกน้องถางไร่ ถางนาให้กับกำนัน ส่วนเรื่องที่นายสนั่นอ้างว่าเคยเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้าน และซื้อที่ดินมาจากกำนันนั้น เป็นเรื่องโกหก ถ้าให้พูดตรงๆ แล้ว นายสนั่นไม่มีเงินที่จะซื้อที่ดินของกำนันณรงค์หรอก เป็นเหมือนพวก ๑๘ มงกุฎ ที่รวบรวมชาวบ้านมาเรียกร้องที่ดิน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ที่ดินของเขา”

อ้างไม่ได้รื้อบ้าน

                “โคราชคนอีสาน” สอบถามอีกว่า เรื่องที่นายสนั่นกล่าวหาว่า นายสุนทรได้พาพวกไปทำการรื้อบ้าน และทำร้ายครอบครัวนั้น ความจริงเป็นอย่างไร นายสุนทรตอบว่า “เรื่องที่เกิดเป็นคดีความทำร้ายร่างกายนั้น ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งนายโทนลูกกำนันที่เป็นคนก่อเหตุ ก็ได้ถูกดำเนินคดี และขณะนี้อยู่ในระหว่างประกันตัว เรื่องอยู่ชั้นศาล และขอยืนยันว่า ตนไม่ได้สั่งให้รื้อทรัพย์สินของนายสนั่น แต่ลูกน้องของกำนันเป็นผู้รื้อ เพราะไม้ที่ใช้ก่อสร้างเป็นไม้ของกำนันที่ให้นายสนั่นไว้ ตนยังเป็นคนขอกำนันให้คืนไม้ให้กับนายสนั่นด้วย”

ยืนยันซื้อที่ดินมาถูกต้อง

                นายสุนทร แพงไพรี เปิดเผยอีกว่า ตนซื้อที่ดินมาจากกำนันณรงค์อย่างถูกต้องและมีเอกสารครบถ้วน เป็นเงินจำนวน ๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๓๑ ไร่ ส่วนเรื่องที่กำนันขายที่ดินซ้ำซ้อนนั้น ตนไม่รู้เรื่อง ซึ่งตนยังบอกกับนายสนั่นว่า ของที่ไม่ใช่ของเรา ลาภที่ได้มาโดยมิชอบก็อย่าไปเอาเลย พร้อมได้ให้เงินกับสนั่นไปจำนวน ๕,๐๐๐ บาท เพราะความสงสาร แต่ไม่เคยพูดว่าให้ไปถอนแจ้งความ หรือใส่ร้ายนายสนั่นตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ติดต่ออดีตกำนันไม่ได้

                “โคราชคนอีสาน” พยายามติดต่อนายณรงค์ เลิศกิ่ง ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกรณีนี้ ซึ่งได้สอบถามจากผู้สื่อข่าวอื่นๆ แล้ว แต่ไม่สามารถติดต่อได้ และจากการติดตามพบว่า นายณรงค์ เลิศกิ่ง อดีตกำนันตำบลไชยมงคล ได้เปลี่ยนชื่อ-นามสกุลถึง ๓ ครั้ง และมีคดีฟ้องร้องในชั้นศาลเรื่องที่ดินหลายคดี

แจ้งความหนังสือพิมพ์

                ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ มีการเผยแพร่ข่าวทางสื่อสังคมว่า นายณรงค์ เลิศกิ่ง และนายสุนทร แพงไพรี ได้เข้าแจ้งความที่สภ.เมืองนครราชสีมา กรณีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งเสนอข่าวการไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมฯ กล่าวหาว่าเป็นผู้อิทธิพล โดยนายณรงค์ เลิศกิ่ง เปิดเผยกับสื่อมวลชนบางรายที่ไปทำข่าวว่า ตนไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลตามที่นายสนั่นกล่าวอ้าง เพียงแต่ว่า นายสนั่นมาทำงานกับตนจริงประมาณ ๒ ปี แต่ในเรื่องการซื้อขายที่ดินกับนายสนั่นนั้น ไม่เป็นความจริง นายสนั่นแค่มาทำงาน ทำไร่ ทำสวนให้เท่านั้น และการทำร้ายร่างกายหรือยิงปืนขู่ก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซึ่งที่ดินจำนวน ๓๐ ไร่เป็นที่จับจอง (ภบท.๕) และตนเคยไปขอยืมเงินจากนายสุนทร แพงไพรี จำนวน ๓ ล้านบาท เพื่อมารักษาตัว เพราะตนประสบอุบัติเหตุรถตกเขา แต่ยังไม่มีเงินไปคืน จึงขายที่ดินตรงนั้นให้นายสุนทรในราคา ๖ ล้านบาท และนายสุนทรนำเงินไปเพิ่มให้ตนอีก ๓ ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ตนได้แจ้งความดำเนินคดีนายสนั่นไปแล้วเรื่องการปลอมแปลงเอกสารซื้อขายที่ดิน ขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นศาล ในวันนี้จึงมาชี้แจงตำรวจและผู้สื่อข่าวว่า ตนไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลและไปข่มขู่ใครแต่อย่างใด จึงขอความเป็นธรรมให้กับตนเองและพวกด้วย

 

 

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๒ ฉบับที่ ๒๔๓๕ วันศุกร์ที่ ๒๖ - วันพุธที่ ๓๑ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

 


708 1342