19thApril

19thApril

19thApril

 

July 02,2018

วอนช่วยตายายกู้นายทุนแสนสอง เรียกคืน ๔.๕ แสนซ้ำขู่ยึดบ้าน

           บุกร้องศูนย์ดำรงธรรม ให้ช่วยเหลือสองตา-ยาย วัย ๗๘ และ ๙๒ ปี หูหนวกตาฝ้าฟาง หลังไปกู้ยืมเงินนอกระบบจากนายทุน ๑.๒ แสนบาท  ให้ลูกไปใช้จ่ายเมื่อ ๕ ปีก่อน ล่าสุดนายทุนเรียกเก็บทั้งต้นและดอกเบี้ยรวมกว่า ๔.๕ แสน ขู่ไม่จ่ายภายใน ๑๕ วันจะยึดบ้านและที่ดิน

           เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ นายศิริวัฒนะ วิชัยรัมย์ ราษฎรบ้านซับอุดม ต.ทุ่งจังหัน อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีอาชีพขับรถตู้รับจ้าง ได้นำภาพถ่ายพร้อมคำบอกเล่าจากสองตายาย เข้าร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ให้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางช่วยเหลือสองสามีภรรยาที่แก่ชรา คือ นายคำภา อายุ ๙๒ ปี ปัจจุบันหูหนวกสายตาฝ้าฟาง และนางทองม้วน อายุ ๘๗ ปี ซึ่งอาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๑๖๙ ม.๕ ต.หนองกี่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ หลังจากเมื่อ ๕ ปีก่อน นายคำภา ผู้เป็นสามีได้ไปกู้ยืมเงินนอกระบบจากนายทุนรายหนึ่งจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยนำโฉนดที่ดินที่เป็นบ้านอาศัยอยู่ปัจจุบันไปค้ำประกันเงินกู้ด้วย เพื่อต้องการนำเงินไปให้ลูกของตนเองซึ่งเดือดร้อนจำเป็นต้องใช้เงิน โดยนายทุนได้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓๐ บาทต่อปี แต่ต่อมานายทุนมาบอกกับตาคำภา อีกครั้งว่านายคำภากู้เงินไปทั้งหมด ๓๐๐,๐๐๐ บาท และล่าสุดเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายนที่ผ่านมานายทุนรายดังกล่าว ได้ส่งหนังสือแจ้งกับ สองตายายว่า หากไม่นำเงินที่กู้ยืมไปทั้งต้นและดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น ๔๕๒,๓๗๕ บาท มาจ่ายภายใน ๑๕ วัน ก็จะยึดบ้านที่นำไปค้ำประกันเงินกู้ไว้และจะขับไล่ออกจากบ้าน จากกรณีดังกล่าวจึงขอให้ทางศูนย์ดำรงธรรมไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางช่วยเหลือสองตายายด้วย 

           นายศิริวัฒนะ วิชัยรัมย์ ราษฎรที่เป็นคนไปร้องเรียนให้ช่วยเหลือสองตายาย เปิดเผยว่า ตนขับรถตู้รับจ้างผ่านไปเห็นยายนั่งร้องไห้อยู่ที่บ้าน จึงเข้าไปสอบถามยายก็เล่าถึงสาเหตุของความทุกข์ใจให้ฟังว่า เมื่อ ๕ ปีก่อนสามีไปกู้ยืมเงินนอกระบบจากนายทุนมา ๑๒๐,๐๐๐ บาท ให้ลูกที่กำลังเดือดร้อนไปใช้ แต่จู่ๆ ทางนายทุนก็มาบอกว่า ตากู้เงินไปทั้งหมด ๓๐๐,๐๐๐ บาท และพอครบกำหนด ๕ ปีก็มาเรียกเก็บทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงถึงกว่า ๔๕๐,๐๐๐ บาท แต่ทั้งสองตายายไม่มีเงินจ่ายเพราะไม่มีรายได้อะไร ส่วนลูกๆ ก็ไม่มีปัญญาที่จะหาเงินมาจ่ายให้ได้เช่นกัน จนล่าสุดนายทุนได้ส่งหนังสือมาแจ้งสองตายายว่า ถ้าไม่นำเงินไปจ่ายภายใน ๑๕ วัน ก็จะยึดบ้านและขับไล่ออกจากบ้าน ด้วยความสงสารจึงเป็นตัวแทนมาร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาแนวทางช่วยเหลือสองตายายด้วย

           ด้านนายชุมพล ภูผานิล ผู้อำนวยการ กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า เบื้องต้นก็ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้ พร้อมจะประสานไปทางศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหนองกี่ ท้องที่เกิดเหตุให้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร มีการทำสัญญากู้ยืมกันหรือไม่ และมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดตามที่มีการร้องเรียนจริงหรือไม่ เพราะเบื้องต้นมีเพียงคำบอกเล่าจากตายายเท่านั้น แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่า มีการกู้ยืมเงินนอกระบบและเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎมหายกำหนดจริง ก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนกรณีที่จะขับไล่ตายายออกจากบ้านนั้นก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยเช่นกัน

 

นสพ.โคราชคนอีสาน  ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๒๕๑๒ วันอาทิตย์ที่ ๑ - วันพฤหัสบดีที่ ๕  เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ 


696 1343