19thApril

19thApril

19thApril

 

August 19,2019

‘เอสซีจี’แถลงผลประกอบการ มุ่งสร้างธุรกิจโตระยะยาว พร้อมรักษาเสถียรภาพการเงิน

        เอสซีจีแถลงผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ กำไรลดจากผลกระทบสงครามการค้า เผยเดินหน้านวัตกรรมสินค้า-บริการที่มีมูลค่าเพิ่ม และตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมส่งมอบโซลูชั่นครบวงจรให้ลูกค้า เร่งรัดโครงการสำคัญที่สร้างมูลค่าให้เป็นไปตามแผน เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวและรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้ธุรกิจ

        เมื่อเร็วๆ นี้ นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีในไตรมาสที่ ๒ ประจำปี ๒๕๖๒ มีรายได้จากการขาย ๑๐๙,๐๙๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง และลดลงร้อยละ ๓ จากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายได้ของธุรกิจหลักลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ๙,๐๗๙ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๒๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ ๒๒ จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ และการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ๑,๑๕๐ ล้านบาท ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานดังกล่าวมูลค่า ๒,๐๓๕ ล้านบาท จะทำให้เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด ๗,๐๔๔ ล้านบาท

        สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ เอสซีจีมีรายได้จากการขาย ๒๒๑,๔๗๓ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ๒๐,๗๔๑ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๑๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงจากผลกระทบของสงครามการค้า แต่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยังมีรายได้สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของการก่อสร้างในภูมิภาค ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จะทำให้เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด ๑๘,๗๐๖ ล้านบาท 

        โดยในไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๒ เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) ๔๗,๑๖๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓ ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔ จากไตรมาสก่อน ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA ๙๒,๖๒๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒ ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

        นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ ทั้งสิ้น ๘๘,๘๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐ ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ ๑๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๒ มีมูลค่า ๖๑๘,๕๙๑ ล้านบาท โดยร้อยละ ๓๓ เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ ๒ และครึ่งปีแรกปี ๒๕๖๒ แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

        ธุรกิจเคมิคอลส์ ได้รับผลกระทบของสงครามการค้าและค่าเงินบาทแข็งค่าที่ส่งผลให้ส่วนต่างราคาสินค้าปรับตัวลดลง รวมทั้งการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ในไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๒ จึงมีรายได้จากการขาย ๔๕,๙๙๕ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๑๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ ๑ จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ๔,๔๒๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๔๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ ๒๘ จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานดังกล่าวมูลค่า ๔๘๒ ล้านบาท จะทำให้ธุรกิจเคมิคอลส์มีกำไรสำหรับงวด ๓,๙๔๒ ล้านบาท 

        สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย ๙๒,๒๓๕ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๑๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ๑๐,๕๓๐ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๓๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จะทำให้ธุรกิจเคมิคอลส์มีกำไรสำหรับงวด ๑๐,๐๔๘ ล้านบาท

        ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๒ มีรายได้จากการขาย ๔๕,๙๒๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ ๕ จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการซบเซาของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในช่วงฤดูฝน โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ๑,๘๓๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ ๔๐ จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานดังกล่าวมูลค่า ๙๖๔ ล้านบาท จะทำให้ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีกำไรสำหรับงวด ๘๗๓ ล้านบาท 

        สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย ๙๔,๒๓๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดซีเมนต์ในประเทศ โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ๔,๘๗๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จะทำให้ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีกำไรสำหรับงวด ๓,๙๑๓ ล้านบาท 

        ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๒ มีรายได้จากการขาย ๒๐,๔๐๒ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ ๓ จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการซื้อที่ลดลงในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และกระดาษประเภทอื่นๆ โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ๑,๓๗๕ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๑๔ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ ๑๘ จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานดังกล่าวมูลค่า ๓๓๘ ล้านบาท จะทำให้ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีกำไรสำหรับงวด ๑,๐๓๗ ล้านบาท 

        สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย ๔๑,๕๒๙ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการซื้อที่ลดลงในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และกระดาษประเภทอื่นๆ โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ๓,๐๕๖ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จะทำให้ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีกำไรสำหรับงวด ๒,๗๑๘ ล้านบาท

        นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “แม้ผลประกอบการของเอสซีจีในไตรมาสที่ ๒ และครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ โดยเฉพาะธุรกิจเคมิคอลส์ จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ประกอบกับรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานในไตรมาสที่ ๒ และการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ แต่เอสซีจียังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือ HVA ควบคู่กับการตอบโจทย์แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมส่งมอบโซลูชั่นแบบครบวงจรให้ลูกค้า รวมทั้งเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าให้ธุรกิจให้เป็นไปตามแผน ภายใต้ ๒ กลยุทธ์ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ทั้งการบริหารจัดการการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว (Long-term Growth) และการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน (Stability)                             

        ด้านการบริหารจัดการการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว สำหรับธุรกิจเคมิคอลส์ จะเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยอาศัยจุดแข็งของเอสซีจีด้านการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าเคมีภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การพัฒนาเม็ดพลาสติกพอลิเอทิลีนเกรดพิเศษด้วย SMX Technology? สำหรับผู้แปรรูปพลาสติกและเจ้าของแบรนด์สินค้าที่ต้องการเม็ดพลาสติกคุณภาพสูง สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกในผลิตภัณฑ์ แต่ยังคงความแข็งแรงทนทานได้ดี ตลอดจนการพัฒนาสินค้าเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด ซึ่งล่าสุดได้เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา SCG Advanced Materials Laboratory ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาต้นแบบสินค้าในกลุ่ม Functional Materials  

        ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ซึ่งยังคงมีการเติบโตที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องของโครงการก่อสร้างของภาครัฐในไทย เช่นเดียวกับการเติบโตในภูมิภาคอาเซียนทุกประเทศ ยกเว้นอินโดนีเซียซึ่งมีความต้องการภายในประเทศชะลอตัว เอสซีจีจึงเน้นรุกตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพและมูลค่าของตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างธุรกิจค้าปลีก เช่น การเปิดศูนย์ “SCG Home บุญถาวร” จำหน่ายสินค้าวัสดุตกแต่งที่เน้นครัวและห้องน้ำ ที่จังหวัดนครราชสีมา กระบี่ และนครศรีธรรมราช รวมถึงการขยายคลังสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิของธุรกิจโลจิสติกส์ หรือการพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบวงจรยิ่งขึ้น เช่น โซลูชั่นระบบหลังคาที่ช่วยประหยัดพลังงาน ไม่รั่วซึมหรือสีซีดจาง และอยู่สบาย เป็นต้น 

        ขณะที่ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่งมีการเติบโตที่โดดเด่นและมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคอาเซียน รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทั้งการเติบโตของธุรกิจ e-commerce และพฤติกรรมการบริโภคอาหารบริการด่วน เอสซีจีจึงเน้นการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจมากยิ่งขึ้น ด้วยการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมทั้งโรงงาน UPPC ในฟิลิปปินส์ และโรงงาน BATICO ในเวียดนาม รวมทั้งการซื้อหุ้น Fajar ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ของอินโดนีเซีย 

        อีกหนึ่งกลยุทธ์ คือ การสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เอสซีจีคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่องของธุรกิจด้วยการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๒ เอสซีจีมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร (cash & cash under management) ๔๒,๕๗๓ ล้านบาท สอดคล้องกับแผนการลงทุนและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังไม่แน่นอน รวมทั้งการทบทวนโครงการลงทุน โดยเน้นโครงการที่สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้รวดเร็ว เช่น การซื้อหุ้น Fajar ซึ่งจะสามารถรวมผลการดำเนินงานเข้ามาในธุรกิจแพคเกจจิ้งของเอสซีจีได้ในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๖๒ ส่วนโครงการลงทุนสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าให้ธุรกิจที่ได้ลงทุนไปแล้ว อย่างโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในเวียดนามหรือ LSP ก็ได้เร่งดำเนินการให้สำเร็จตามแผน 

        นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ด้วยการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงาน อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในโรงงาน โดยสามารถจ่ายไฟฟ้าได้แล้ว ๗๗ เมกะวัตต์ ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากภายนอก ช่วยให้ประหยัดได้ ๓๕๐ ล้านบาทต่อปี และการเปลี่ยนของเสียให้เป็นพลังงาน (Waste to energy) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากของเสียในการผลิตกระดาษ โดยมีกำลังการผลิต ๙.๖ เมกะวัตต์ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยี ทั้งการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และการสร้างสตาร์ทอัพในองค์กร รวมทั้งการสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น

        “เอสซีจียังเน้นการขยายโอกาสส่งออกตามทิศทางของตลาดโลก เช่น ธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังจีนและกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้น หรือธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ส่งออกสินค้ากลุ่มฝ้าและผนังไปจำหน่ายในเกาหลีใต้ ก่อนมีแผนจะขยายตลาดไปยังโซนยุโรปเพิ่มเติมอีกด้วย” นายรุ่งโรจน์ กล่าวปิดท้าย

        ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ ในอัตรา ๗.๐๐ บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น ๘,๔๐๐ ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ กำหนดวันที่ XD ในวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๒ และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๒

 

 

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๕ ฉบับที่ ๒๕๘๙ วันศุกร์ที่ ๑๖ - วันอังคารที่ ๒๐ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

 

699 1346