29thMarch

29thMarch

29thMarch

 

May 14,2022

เหยื่อโดนเต็นท์รถโกงบุกร้องอัยการ เร่งพิจารณาสั่งฟ้องหลังยืดเยื้อ ๕ ปี

เหยื่อที่ถูกเต็นท์รถมือสองชื่อดังที่บุรีรัมย์ฉ้อโกงซื้อขาย-แลกเปลี่ยนรถ บุกร้องอัยการจังหวัดเร่งพิจารณาสั่งฟ้อง หลังคดียืดเยื้อมานานเกือบ ๕ ปี ผู้เสียหายมากกว่า ๑๗๐ ราย สูญเงินหลายสิบล้าน แต่ผู้ก่อเหตุยังลอยนวล โผล่ฉ้อโกงรายวัน  

เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ตัวแทนผู้เสียหายจากหลายจังหวัดในภาคอีสาน ที่ถูกเต็นท์รถมือสองรายใหญ่ใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ฉ้อโกงในการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถทั้งรายเก่าและรายใหม่กว่า ๑๐ คน จากจำนวนผู้เสียหายทั้งหมดกว่า ๑๗๐ ราย มูลค่าความเสียหายหลายสิบล้านบาท นำเอกสารหลักฐานและรายชื่อผู้เสียหาย ยื่นร้องที่สำนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ ให้เร่งพิจารณาสั่งฟ้องหลังจากคดียืดเยื้อมานานเกือบ ๕ ปี พอไปติดตามสอบถามตำรวจก็บอกว่าส่งสำนวนไปอัยการแล้ว แต่เมื่อมาตามเรื่องที่อัยการ กลับบอกว่าสำนวนไม่ครบถ้วนได้ตีกลับไปให้ตำรวจดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ทำให้ผู้เสียหายสับสนและเกิดความไม่มั่นใจว่าจริงแล้วคดีถึงขั้นตอนใด แล้วจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ซึ่งนอกจากคดีจะไม่คืบหน้าแล้วผู้กระทำผิดยังลอยนวลไปก่อเหตุหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนได้รับความเสียหายรายวันอีก

โดยเต็นท์รถดังกล่าวมีพฤติการณ์รับซื้อรถยนต์ที่ติดไฟแนนซ์ โดยรับที่จะใช้จ่ายค่างวดค่าเบี้ยปรับให้ลูกค้า และปิดบัญชีให้ หลังจากที่ลูกค้าขายรถยนต์ให้ทางเต็นท์แล้ว กลับไม่ปิดบัญชี และไม่จ่ายส่วนต่างให้ตามที่ตกลง เป็นเหตุให้ลูกค้าถูกฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อที่มีอยู่เดิม บางรายต้องผ่อนกุญแจเปล่าๆ เพราะเมื่อลูกค้าขอรถคืนก็จะแจ้งลูกค้าว่าได้ขายรถไปแล้ว แต่ไม่ยอมปิดงวดไฟแนนซ์เดิมทำให้ลูกค้าถูกฟ้อง ส่วนลูกค้าที่ซื้อรถต่อก็ไม่ทราบว่ารถติดไฟแนนซ์ และโดนไฟแนนซ์เดิมตามยึด และเมื่อผ่อนหมดก็ไม่สามารถโอนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ ส่วนเต็นท์ที่รับซื้อไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งมีพฤติการณ์ในการขายรถยนต์ให้ลูกค้าโดยไม่แจ้งแหล่งที่มาของรถยนต์ให้ลูกค้าได้ทราบ เมื่อผ่อนชำระแล้วก็ไม่ได้เล่มทะเบียนหรือสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ เมื่อนำรถยนต์ไปคืนให้ก็ไม่รับคืน กลับบ่ายเบี่ยงให้เอารถคันใหม่ซึ่งราคาสูงกว่าเดิม สุดท้ายผู้เสียหายต้องถูกยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อเพราะผิดสัญญาที่ทำไว้กับเต็นท์

นายประกอบ มาลีศรี หนึ่งในผู้เสียหายที่มายื่นหนังสือร้องที่อัยการจังหวัด กล่าวว่า ที่ตัวแทนผู้เสียหายพากันมายื่นร้องต่ออัยการจังหวัดในครั้งนี้ เพราะอยากทราบว่าคดีถึงขั้นตอนไหนแล้ว และหากสำนวนคดีส่งมายังอัยการแล้ว ก็อยากให้เร่งพิจารณาสั่งฟ้องเพราะคดียืดเยื้อมานานเกือบ ๕ ปีแล้ว ผู้เสียหายแต่ละคนต่างก็เดือดร้อน เสียทั้งเงินเสียทั้งรถแถมบางคนก็ถูกฟ้องยึดทรัพย์ จึงได้พากันมายื่นหนังสือร้องอัยการ แต่หากเรื่องยังไม่คืบหน้าก็อาจจะไปร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือสำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป

ด้านนายชัยเดช สอนครบุรี อายุ ๓๔ ปี ชาวจ.บุรีรัมย์ ผู้เสียหายรายใหม่ที่เพิ่งโดนเต็นท์รถดังกล่าวฉ้อโกงเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๕ มีชาย-หญิงเจ้าของเต็นท์รถไปขอซื้อรถไถนาต่อจากตนเอง โดยตกลงซื้อขายกันในราคา ๕๘๒,๐๐๐ บาท วางเงินมัดจำไว้ ๑๐,๐๐๐ บาท โดยจ่ายเงินมัดจำในวันที่ ๒๔ มีนาคมที่มาติดต่อขอซื้อ ส่วนที่เหลือจะมาจ่ายให้ในวันที่ ๒๕ มีนาคม แต่จะขอเอารถไถนาไปก่อน ด้วยความเชื่อใจเพราะมีการทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว จึงยอมให้รถไปแต่พอครบกำหนดกลับมาจ่ายเงินให้บ่ายเบี่ยงอ้างโน่นอ้างนี้ กระทั่งไปเห็นรถจอดอยู่ที่เต็นท์จึงไปตามเอารถคืนและจะคืนเงินประกันให้ แต่ลูกน้องเจ้าของเต็นท์กลับไม่ยอมให้รถคืนแถมพกปืนมายืนขู่ ก็ทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ก็ต้องผ่อนกุญแจเปล่าไม่รู้ว่ารถอยู่ไหน อยากวอนให้ตำรวจช่วยติดตามรถคืนด้วย  

ขณะตัวแทนอัยการที่มารับหนังสือร้องเรียนจากผู้เสียหาย ชี้แจงว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบสำนวนที่ทางพนักงานสอบสวนส่งมา แต่เนื่องจากเอกสารค่อนข้างเยอะเพราะผู้เสียหายมีจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบสำนวนและหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบ หากสำนวนไหนยังไม่ครบถ้วนก็อาจจะต้องให้ทางพนักงานสอบสวนไปทำมาเพิ่มเติม ก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด    

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๗ ฉบับที่ ๒๗๒๖ ประจำวันพุธที่  ๑๑ - วันอังคารที่  ๑๗  เดือนพฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๖๕


965 1637