4thJanuary

4thJanuary

4thJanuary

 

February 06,2023

ส่อยืดเยื้อที่ดินโบราณสถานโคกปราสาท ห้วยแถลง เจ้าของที่ดินร้องศูนย์ดำรงธรรม โต้ข้อกล่าวหาบุกรุกที่สาธารณะ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา นางสม  ดอนสว่าง อายุ 64 ปี เจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) จำนวน 3 แปลง ได้แก่เลขที่ 18,30 และ 39 ตำบลงิ้ว อ.พิมาย จ.นครราชสีมา โดยมีที่ตั้งทางกายภาพของที่ดินปัจจุบัน หมู่ที่ 14 ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา โดยมีการตั้งบ้านเรือนพักอาศัยเป็นภูมิลำเนาอยู่บนที่ดินดังกล่าวและที่ดินมีโบราณสถานปราสาทหินหลุ่งตะเคียนในพื้นที่ด้วย พร้อมนายธนาวิน  บุญกิจ ที่ปรึกษากฎหมายได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องขอวามเป็นธรรมกรณีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.ป กล่าวหาบุกรุกเข้าไปครอบครองพื้นที่สาธารณะประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยมีเจ้าหน้าที่รับหนังสือร้องเรียนเพื่อนำเสนอตามขั้นตอนต่อไป

นางสม เปิดเผยว่า ขอยืนยันด้วยเอกสารหลักฐานที่ดินทั้ง 3 แปลง ครอบครัวได้อยู่อาศัยมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่และตนก็เกิดและเติบโตอยู่บนผืนดินดังกล่าวมาโดยตลอด ที่ดินได้รับการส่งมอบการครอบครองมาโดยถูกต้องจากบุคคลผู้มีชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองจนถึงปัจจุบัน ต่อมากรมศิลปากรได้ออกประกาศเรื่องขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดเขตพื้นที่โบราณสถาน เมื่อปี 2537 ครอบทับที่ดินโดยมิได้ดำเนินการตามกฎหมายด้วยการแจ้งเป็นหนังสือให้ตนใช้สิทธิโต้แย้งคัดค้าน ขณะนี้ตนใช้สิทธิทางศาลปกครอง ฟ้องเพิกถอนกฎดังกล่าวและคำสั่งทางปกครอง โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล แต่กลับถูกกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจรวมตัวกันกล่าวหาบุกรุกโบราณสถาน กลั่นแกล้งทั้งในสื่อโซเชียลมีเดียและหน่วยงานราชการต่างๆ หนึ่งในแกนนำได้แก่นายละมุน บังพิมาย รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หลุ่งตะเคียน ซึ่งปัจจุบันเป็นคู่ความในฝั่งตรงกันข้ามทั้งในคดีแพ่งและอาญาหลายคดี กระทั่งเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 ได้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาจักราช เพื่อใช้สิทธิตามกฎหมายขอออกโฉนดที่ดินจาก ส.ค.1 ทั้ง 3 แปลง กลับถูกกลุ่มบุคคลผู้คัดค้านได้กระทำการทุกวิถีทางเพื่อมิให้การรังวัดที่ดินสามารถดำเนินการได้โดยสะดวกและเพื่อมิให้ตนสามารถดำเนินการออกโฉนดที่ดินได้ นายละมุน ฯ กล่าวหาว่า เจ้าพนักงานที่ดินรับคำขอโดยไม่โปร่งใสและเอกสาร ส.ค.1 เป็นของปลอม ทั้งที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการโดยถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย

กลุ่มผู้ร้องเรียนนำโดยนายละมุน ได้แจ้งให้นายทะนุศักดิ์  อยู่ศิริบูรณ์ นายก อบต.หลุ่งตะเคียน แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพลับพลา อ.ห้วยแถลง กล่าวหามีผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์บริเวณปราสาทหลุ่งตะเคียนคือตนกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ที่ดินแปลงดังกล่าวได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ,ที่ว่าการอำเภอห้วยแถลง, สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาจักราช และ อบต.หลุ่งตะเคียน ซึ่งเป็น 4 ส่วนราชการได้ทำหน้าที่ร่วมกันเก็บรักษาทะเบียนที่สาธารณประโยชน์ตามกฎหมาย 4 ชุด ว่ามิได้เคยมีการขึ้นทะเบียนที่สาธารณประโยชน์หรือมีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ในที่ดินบริเวณแปลงที่ดินของตนมาก่อนแต่อย่างใด

รวมทั้งได้ทราบจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม ณ อบต.หลุ่งตะเคียน ว่านายทนุศักดิ์ ร่วมกันกับนายละมุน เร่งรัดตั้งเรื่องเบิกจ่ายงบประมาณของอบต.หลุ่งตะเคียน ซึ่งเป็นเงินภาษีท้องถิ่นนำไปจ่ายให้แก่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาจักราช เพื่อขอให้มารังวัดที่ดินสาธารณประโยชน์บริเวณปราสาทหลุ่งตะเคียน โดยมีกำหนดรังวัดที่ดินในวันที่ 7 ก.พ นี้ ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวตนได้ครอบครองมาโดยตลอดถือครองต่อเนื่องกับผู้มีสิทธิครอบครองคนก่อน ๆ มาไม่ขาดสายหาได้เคยสละการครอบครองหรือปล่อยปละให้มีสภาพตกเป็นที่สาธารณะประโยชน์มาก่อน แต่ประการใดที่ดินแปลงดังกล่าว นายทนุศักดิ์ และนายละมุน ฯ มิได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือตั้งเรื่องผ่านส่วนงานที่เกี่ยวข้องแต่ดำเนินการกันโดยลำพัง อ้างโบราณสถานเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งมีข้อเท็จจริงที่ยืนยันและเห็นได้เป็นที่ประจักษ์มิได้เคยมีประชาชนพลเมืองครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าวร่วมกันมีเพียงเหตุกล่าวอ้างมีโบราณสถานปราสาทหลุ่งตะเคียนตั้งอยู่บนที่ดิน ดังนั้นข้อมูลข่าวสารที่ผ่านมาทำให้สังคมภายนอกที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ขอยืนยันการครอบครองสิทธิ์เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมืองทุกประการจึงจำเป็นต้องเรียกร้องความเป็นธรรมและให้สังคมพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน

ทั้งนี้หากบรรดาผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องยังคงยืนยันจะดำเนินการต่อไปให้มีการรังวัดที่สาธารณประโยชน์ทับที่ดินของตน จึงมีความจำเป็นต้องป้องกันสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายมิให้บุคคลใดล่วงละเมิดหรือก่อความเสียหายอีกต่อไป


772 1,520