19thApril

19thApril

19thApril

 

May 26,2023

ยกระดับ‘โคราชวากิว’สู่ตลาดโลก คุณภาพเทียบเท่าญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย

ตามที่เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๖ ณ อาคารปฏิบัติการชำแหละและตัดแต่งเนื้อโคมาตรฐาน GMP และฮาลาลเพื่อการส่งออก ฟาร์มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (ฟาร์มโคเนื้อวากิว) มีการจัดงาน “สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง” ภายใต้โครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก เพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ถือเป็นการเปิดงานครั้งที่ ๕ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักจากสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ในพื้นที่รับผิดชอบ ๓ จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เข้าร่วมกิจกรรมและรับองค์ความรู้มากมาย ได้แก่ กิจกรรมเสวนาโดยกองทุนหมู่บ้านต้นแบบ “ทำแล้ว ทำง่าย ทำได้...ไม่ยาก” โดยกองทุนหมู่บ้านดอนกอก หมู่ที่ ๒ ตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Up Skill เรื่อง “โคล้านครอบครัว” จากวิทยากร รศ.ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อวากิวสัญชาติไทย รวมถึงกิจกรรม Business Matching และยังมีนิทรรศการให้ความรู้จาก กทบ. โดยมี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายศุภภิมิตร เปาริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และนายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯ หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ และสื่อมวลชนร่วมงาน  

นายอนุชา กล่าวว่า การลงพื้นที่มาดูผลผลิตวัวพันธุ์ไทยยอดนิยม “โคราชวากิว” รู้สึกดีใจแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงวัว ได้เห็นถึงอนาคตของลูกหลานผู้เลี้ยงวัว ที่จะมีโอกาสร่ำรวยจากการเลี้ยงวัว ไม่ต้องเดินทางไปทำงานต่างถิ่น โดยเฉพาะพี่น้องภาคอีสาน ซึ่งมีพื้นที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงโค  และวันนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ประเทศไทยจะมีอาคารปฏิบัติการชำแหละและตัดแต่งเนื้อโคมาตรฐาน GMP และฮาลาลเพื่อการส่งออกที่ได้มาตรฐานแห่งแรกของประเทศไทย  ซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ถือเป็นสถานที่ในการวิจัยพัฒนาและสร้างระบบนิเวศด้านการผลิตโคไทยวากิวเพื่อให้เป็นอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต อันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ทำให้เกิดการส่งออกเนื้อวัวมากยิ่งขึ้น สร้างมูลค่าทางการตลาด ซึ่งเมื่อตลาดมีความต้องการมากขึ้น จะทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวมีรายได้ มากยิ่งตามลำดับ

“การผลิตโคเนื้อในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ที่สำคัญตลาดส่งออกเนื้อโค โดยเฉพาะในตลาดประเทศอาเซียนรวมถึงตลาดโลก ยังมีช่องว่างให้เกษตรกรไทยได้นำโคเนื้อเข้าสู่ตลาดอีกมากเพราะประเทศผู้ผลิตเนื้อโคของโลกโดยเฉพาะออสเตรเลีย บราซิล สหรัฐอเมริกา ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ทำให้การส่งออกเนื้อโคของประเทศดังกล่าวลดลง  จึงเป็นโอกาสทองให้ไทยสามารถส่งออกเนื้อโคได้มากขึ้น ซึ่งความต้องการของตลาดโลก ในปี ๒๕๖๖ คาดว่าจะมีการบริโภคเนื้อโคปริมาณ ๕๖.๘๔๖ ล้านตัน โดยสหรัฐอเมริกามีการบริโภคมากที่สุด ปริมาณ ๑๒.๑๘๕ ล้านตัน รองลงมาได้แก่ จีน ๑๐.๓๓๐ ล้านตัน และบราซิล ๗.๕๔๗ ล้านตัน” นายอนุชา กล่าว

นายอนุชา กล่าวอีกว่า “จากความต้องการโคเนื้อในตลาดโลก สอดคล้องกับการที่กองทุนหมู่บ้านฯ ได้ทำโครงการโคล้านครอบครัว ทำให้พี่น้องประชาชนมีโอกาส จับเงินแสนเงินล้านจากการทำอาชีพเกษตร-ปศุสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงโค ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย เพราะโคกินหญ้าที่สามารถหาได้ตามพื้นที่ในชุมชน อีกทั้ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนสินเชื่อให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ เพื่อเป็นแหล่งทุนให้พี่น้องสมาชิกฯ กู้ยืมสำหรับเลี้ยงโค กระบือ แพะ และแกะ ครอบครัวไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท คาดว่า ๓ ปี จะสามารถคืนทุนได้ โดยตั้งแต่ปีที่ ๔ เป็นต้นไป จะเป็นกำไรของประชาชน ขอเพียงให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ อดทน ตั้งใจ และต้องหมั่นศึกษาอัปเดตองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้ทันกระแสโลกด้วย ซึ่งปัจจุบัน ไทยสามารถผลิตโคเนื้อวากิว ชื่อพันธุ์ “โคราช วากิว” เนื้อคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมเทียบเท่าออสเตรเลียและญี่ปุ่นได้แล้ว ด้วยการนำนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้ามาช่วยส่งเสริมในอาชีพ เกษตรกรต้องหมั่นศึกษาหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มาพัฒนาในสายอาชีพอยู่เสมอจึงจะสามารถก้าวทันต่างประเทศ และหลุดพ้นความยากจนไปได้” นายอนุชา ย้ำ

รศ.ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ หัวหน้าศูนย์วิจัยเทคโนโลยีตัวอ่อนและเซลล์ต้นกำเนิด สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. เจ้าของผลงานวิจัยและปรับปรุงสายพันธุ์ การผลิตโคพันธุ์โคราชวากิว เปิดเผยว่า วัวพันธุ์ “โคราชวากิว” เป็นคุณภาพเนื้อจากวัวลูกครึ่งที่สามารถผลิตได้ในไทย โดยได้นำวัววากิว  แท้จากญี่ปุ่นมาผสมกับวัวไทย เพื่อให้ได้วัวลูกครึ่ง แล้วนำวัวลูกครึ่งมาทำการขุน เลี้ยงตามกระบวนการผลิตวัววากิวของญี่ปุ่นทุกขั้นตอน เพื่อให้มีไขมันแทรกในเนื้อสูงขึ้น ทำให้เนื้อวัวมีคุณภาพที่ดี เราจึงได้วัวสายพันธุ์ของไทยชื่อว่า “โคราช วากิว” ซึ่งคุณภาพเนื้อโคราชวากิวเทียบเท่ากับเนื้อวากิวออสเตรเลีย วัวลูกผสมของเราเนื้อคุณภาพได้เกรด ๙ แต่ราคาถูกกว่าออสเตรเลีย ลดการนำเข้าเนื้อจากออสเตรเลียได้เลย และเนื้อโคราชวากิวของเราสู้ราคาเนื้อวากิวลูกผสมจากญี่ปุ่นได้สบายๆ แถมราคาถูกกว่าด้วย เพราะการนำเข้าเนื้อวากิวจากญี่ปุ่นมีต้นทุนที่แพง การผลิตวัวโคราชวากิวจึงสามารถลดการนำเข้าเนื้อจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และยังช่วยส่งเสริมให้ประชาชนผู้ทำอาชีพเกษตร-ปศุสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงวัวมีรายได้สูงขึ้นด้วย ศูนย์วิจัยที่นี่มีเกษตรกรภาคอีสานทุกจังหวัดเข้ามาศึกษาดูงานมากมาย แล้วนำองค์ความรู้ที่ได้ นำไปปฏิบัติ นำไปเลี้ยงวัว กระทั่งได้เนื้อวากิวที่มีคุณภาพจากหลากหลายที่ เช่น นำไปเลี้ยงที่สุรินทร์ กลายเป็นสุรินทร์วากิว สุรินทร์โกเบ ขอนแก่นวากิว ระยองวากิว เป็นต้น ปัจจุบันฐานความรู้ของศูนย์วิจัยแห่งนี้กลายเป็นแหล่งกระจายความรู้การเลี้ยงวัววากิวไปยังทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไปแล้ว ทุกวันนี้กำลังต่อยอดไปสู่ “เนื้ออีสานวากิว” ยกระดับสู่การส่งออกเนื้ออีสานวากิวไปแข่งขันสู่ตลาดโลกอีกด้วย”

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๘ ฉบับที่ ๒๗๕๓ วันที่ ๑๕ เดือนพฤษภาคม - วันที่ ๑๔ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
 


704 1345