3rdJune

3rdJune

3rdJune

 

May 29,2024

ศาลหลักเมืองนครราชสีมา

 

ตามประเพณีไทยมาแต่โบราณ เมื่อจะสร้างเมืองใหม่ จะต้องหาฤกษ์ฝังเสาหลักเมืองก่อน เพื่ออัญเชิญเทวาอารักษ์ประจำเมืองหรือพระเสื้อเมือง รวมทั้งดวงวิญญาณของเจ้าเมืองมาสิงสถิต ด้วยความเชื่อว่าจะคอยดูแลปกป้องคุ้มครองเมืองให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากเภทภัยและภยันตรายที่จะเกิดขึ้น หลักเมืองจึงเสมือนหลักชัยของบ้านเมือง ที่สร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวเมือง หลังจากนั้นจึงลงมือสร้างบ้านสร้างเมือง

เมื่อสร้างเมืองเสร็จ เสาหลักเมืองมักจะเป็นสิ่งที่เคารพบูชาของคนเมืองนั้นๆ และคนทั่วไป ต่อมา เมื่อมีการสร้างหลังคากันฝนกันแดดจึงเรียกกันว่า “ศาลหลักเมือง” คนมีความเชื่อว่าเสาหลักเมืองมีเทพารักษ์หรือเจ้าสิงสถิตอยู่ พากันเรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” บ้างก็นำเครื่องเซ่นไหว้มาสักการะ ถึงปีก็จัดงานเฉลิมฉลองจนเป็นประเพณี

 

สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวถึงการตั้งเสาหลักเมืองทั่วไปว่า เป็นประเพณีของพราหมณ์มีมาแต่อินเดีย คล้ายกับการตั้งเสาเอกก่อนที่จะสร้างบ้าน การสักการะบูชาเสาหลักเมืองก็เช่นเดียวกันกับศาลพระภูมิประจำบ้าน เสาหลักเมืองอาจทำด้วยศิลาหรือไม้ที่ปลายเสามักจะทำเป็นรูปหัวเม็ดทรงมัณฑ์ เพื่อบรรจุดวงชะตาของเมือง (หัวเม็ด คือ ส่วนตกแต่งของหัวเสาในงานสถาปัตยกรรมเรียกว่า เสาหัวเม็ด, ทรงมัณฑ์ คือ มีรูปทรงกลมหรือเหลี่ยมซ้อนกันเป็นชั้นๆ เรียวขึ้นไปอย่างหัวเม็ดเสาเกย)                                                                           

หลักเมืองนครราชสีมา ตั้งอยู่มุมวัดกลางนคร (วัดพระนารายณ์มหาราช) ด้านทิศตะวันตก ตรงมุมถนนไชยณรงค์ต่อกับถนนประจักษ์ตัดกับถนนจอมพล ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางเมืองหรือใจเมือง ตามแบบธรรมเนียมของกรุงศรีอยุธยา เสาหลักเมืองตั้งเมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐาน แต่สันนิษฐานว่าตั้งขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองนครราชสีมา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑) 

ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ปี พ.ศ.๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏยกกองทัพมายึดเมืองนครราชสีมา แต่พ่ายแพ้แก่กองทัพเมืองนครราชสีมา และก่อนถอยทัพกลับ ได้เผาบ้านเรือน รื้อทำลายป้อม กำแพงเมือง และได้ถอนเสาหลักเมืองทิ้งล้มลง เพื่อทำลายขวัญชาวเมือง 

เมื่อเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอินท์) เสร็จจากราชการระงับศึกเมืองขุขันธ์และการปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว ต้องเป็นธุระบูรณะบ้านเมือง ได้ตั้งใจจะกราบทูลเชิญกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ เมื่อครั้งยกทัพกลับจากการทำศึกปราบกบฏเวียงจันทน์ ให้มาเป็นเกียรติยศตั้งเสาหลักเมืองให้มั่งคงถาวรดังเดิม แต่ปรากฏว่าพระองค์เสด็จยกทัพกลับพระนครผ่านช่องดงพระยากลางที่ไชยบาดาล จึงไม่ผ่านเมืองนครราชสีมา๒ 

เนื่องจากยังไม่ได้ยกฝังเสาหลักเมืองให้มั่งคง ก็เกรงว่าจะสูญหายจึงได้นำไปเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย และทำเสาใหม่เหมือนของเดิมนำมาตั้งไว้เพื่อให้ประชาชนสักการะแทน 

ในเวลาต่อมามีการเคลื่อนย้ายเสาหลักเมืองเสาเดิมไปเก็บไว้ในที่ต่างๆ ตามผู้อาสาจะดูแลรักษา จนเกือบจะสูญหายหลายครั้ง แต่นับว่าเคราะห์ดีที่แคล้วคลาดและนำกลับมาไว้ ณ ที่เดิม แต่ไม่ได้ตั้งไว้ในสภาพเก่า เนื่องจากมีเสาหลักเมืองที่ทำขึ้นใหม่แทนยังตั้งไว้อยู่ ผู้ดูแลศาลสมัยนั้นได้นำเสาหลักเมืองผูกแขวนโยงไว้ด้วยเชือกหนัง โดยหัวเสาหันไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นทิศประตูผีออก เชื่อกันว่าสิ่งชั่วร้ายจะออกจากเมืองไปทางทิศนี้ ส่วนปลายเสาหันไปทางทิศเหนือ 

เสาหลักเมืองเก่าดั้งเดิมเป็นเสากลมไม้ตะเคียนหิน ปลายเสาด้านที่ฝังเป็นรูปฐานบัวหงายตามศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น อันหมายถึงแผ่นดินบนพื้นโลกที่เทพีหรือพระแม่ธรณีฯ สิงสถิตอยู่เพื่อรองรับปลายเสาแหลมแกะสลักเป็นรูปดอกบัวตูมที่เรียกว่า “ทรงมัณฑ์” ซึ่งถือเป็นบริเวณที่สิงสถิตของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง

 

ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ พันเอก พระยากำแหงสงคราม (จัน ณ ราชสีมา) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครราชสีมา ได้คิดแผนกราบทูลเชิญสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ครั้งเสด็จตรวจราชการเมืองนครราชสีมา ให้เป็นประธานตั้งเสาหลักเมืองอีกครั้ง แต่พระองค์รับสั่งว่า “ฉันบุญน้อยหาคู่ควรแก่เมืองใหญ่ และเป็นเมืองป้อมมาแต่โบราณอย่างเมืองนครราชสีมาไม่” พระองค์ทรงแนะนำให้วางเสาหลักเมืองพอให้ประชาชนได้สักการะบูชาไปพลางก่อน เพื่อรอโอกาสอันเป็นศุภมงคลในคราวต่อไป จากนั้นจึงได้นำเสาหลักเมืองที่ผูกไว้ลงมาวางที่พื้น เพื่อให้ประชาชนสักการะอย่างใกล้ชิด

หลักเมืองได้ปลูกเป็นศาลหลักเมือง เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๒ กว้าง ๙ ศอก ยาว ๙ ศอก ก่อผนังด้วยอิฐถือปูน เครื่องบนเป็นไม้แก่น หลังคามุงกระเบื้อง๔     

เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ เสด็จเมืองนครราชสีมาเป็นครั้งแรก ได้เสด็จศาลหลักเมืองเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๔๓ ทรงจุดเทียนบูชาเทพารักษ์ ได้ทอดพระเนตรเห็นเสาหลักเมืองเดิมในสภาพทิ้งนอนอยู่ จึงได้ทำพิธีฝังขึ้นไว้

ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.๒๕๐๕ นายเจริญ ภมรบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ในขณะนั้น เห็นว่าศาลหลักเมืองเป็นศาลไม้เล็กๆ มีเสา ๖ ต้น หลังคามุงสังกะสี ฝาเป็นกระดานเกล็ด อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก พื้นเป็นดินชื้นแฉะ ภายในศาลค่อนข้างมืดสลัวอับทึบและคับแคบ เนื่องจากราษฎรสร้างอาคารบ้านเรือนชิดล้อมรอบ มีประตูเข้าออกประตูเดียวอยู่ทางทิศตะวันตก เห็นแล้วไม่สมกับเป็นสถานที่ปักหลักชัยของเมืองใหญ่ในภาคอีสานที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน จึงพร้อมด้วยข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ช่วยกันบูรณะ สร้างศาลขึ้นใหม่ให้มีความสง่างาม รูปทรงจัตุรมุขยกพื้นสูงตามแบบของกรมศิลปากร มีทางขึ้นลง ๓ ทาง เดิมนั้นประตูเข้าออกอยู่ทางทิศตะวันตกซึ่งเชื่อกันว่าเป็นทิศที่ไม่เป็นมงคล เมื่อสร้างใหม่จึงทำประตูเข้าออกด้านเดียวทางทิศใต้ และถือโอกาสนำเสาหลักเมืองเก่าเสาแรกดั้งเดิมมาประดิษฐานไว้คงเดิม ส่วนเสาที่ทำขึ้นแทนครั้งที่เสาดั้งเดิมถูกเคลื่อนย้ายไปเก็บรักษาในที่ต่างๆ นั้น ได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมหาวีรวงศ์นครราชสีมา

เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๗ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเจิมเสาหลักเมืองนครราชสีมา

 

ในปี พ.ศ.๒๕๕๙ มีการจัดสร้างหลักเมือง จำลองขนาดเล็กตามคำแนะนำของกรมศิลปากร เพื่อให้ประชาชนได้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ เช่น ปิดทอง เพราะไม่ต้องการให้ปิดทองที่เสาหลักเมืองเสาจริง อันจะทำให้เสาผุกร่อนได้ อีกประการเมื่อมีการปิดทองแล้วก็มักจะคล้องหรือห้อยพวงมาลัยและผูกผ้าต่างๆ ทำให้ดูไม่เรียบร้อยสวยงาม

ศาลหลักเมืองหรือศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ยังคงเป็นโบราณสถานที่ชาวนครราชสีมาและคนทั่วไปเคารพสักการะ แม้แต่ผู้จะบวชก็มักจะไปขอขมากราบลา ผู้มาอยู่เมืองโคราชก็ไปสักการะ โดยเฉพาะเมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน วันสารทจีน ก็จะมีผู้คนไปกราบเซ่นไหว้กันเนืองแน่นตลอดทั้งวันทั้งคืน

แม้แต่วันธรรมดาก็มีคนไปสักการะกันไม่ขาด

 

“เสาหลักเมือง” ใน วารสารวรรณคดี ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๙๑. 
“บันทึกของ พ.อ.พระยาฤทธิรงค์รณเฉท” ใน น.ส.พ.ข่าวภาพภูธรโคราชไทมส์ ฉบับวันที่ ๑๕ เม.ย.-๑๕ พ.ค.๒๕๒๕, หน้า ๑๒.
เรื่องเดียวกัน.
รายงานข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลนครราชสีมา เล่ม ๑๖ วันที่ ๑ ตุลาคม ๑๑๘, หน้า ๔๑๐.    
จดหมายเหตุ การเสด็จตรวจโบราณวัตถุสถานมณฑลนครราชสีมา ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ.๒๔๗๒.

ดร.เมตต์ เมตต์การุณ์จิต

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๙ ฉบับที่ ๒๗๖๕ วันที่ ๑๕ เดือนพฤษภาคม - วันที่ ๑๔ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๗


109 1,355