8thSeptember

8thSeptember

8thSeptember

 

July 04,2024

ว่าที่ส.ว.‘อัษฎางค์ แสวงการ’ เดินหน้าผลักดัน พรบ.การศึกษา ย้ำประธานวุฒิสภาต้องเป็นผู้นำที่ดี

 

ว่าที่ส.ว.จากขอนแก่น ‘อัษฎางค์ แสวงการ’ เจ้าของธุรกิจวิทยาลัย เปิดเผยหลังได้รับเลือก จะเดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษา เน้นการเรียนการสอนแบบใหม่ตรงตามความชอบ ความถนัด ย้ำประธานวุฒิสภาต้องเป็นผู้นำที่ดี และมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับของสมาชิก

เมื่อเวลา ๑๐.๓๐ น. วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๗ ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีขอนแก่นบริหารธุรกิจ นายอัษฎางค์ แสวงการ ผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กลุ่ม ๓ การศึกษา ซึ่งลงสมัครในจังหวัดขอนแก่น และได้รับเลือกในระดับประเทศด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง ๖๙ คะแนน เปิดเผยว่า ต้องขอขอบคุณผู้สมัคร ส.ว.ในระดับประเทศ ที่ไว้วางใจและเลือกให้ตนมาทำหน้าที่ ส.ว.ในกลุ่มการศึกษาซึ่งโดยส่วนตัวทำงานด้านการศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชน มากว่า ๓๐ ปี ตรงจุดนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่เข้ารับการเลือก ส.ว.ระดับประเทศ ทั้งแบบกลุ่มสาขาในรอบเช้า และแบบไขว้ในรอบบ่าย ทุกท่านได้พิจารณาถึงความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถและความตั้งใจจริง ตามที่ตนเองได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือก ส.ว.จนได้รับความไว้วางใจจากทุกท่านได้คะแนนมาเป็นอันดับ ๑ ของกลุ่ม ๓ กลุ่มการศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาตนเคยได้รับการเลือกตั้งให้เป็น ส.ว.เมื่อปี ๒๕๔๙ แต่ก็เกิดการรัฐประหารของคณะ รสช. จึงยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็ทำงานทางการเมืองและการศึกษา ควบคู่ไปในทุกสนามและทุกระดับ

“ในรอบไขว้ เป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้และยากมาก แต่ก็ได้นำเสนอความรู้เรื่องการศึกษาที่ทำมาทั้งชีวิต ทำงานกับทุกภาคส่วนได้อย่างลงตัว ประสานงานได้ทุกเรื่องเพราะวงการการศึกษานั้นเกี่ยวข้องกับทุกสาขา มีการพูดคุยกับกลุ่มผู้พิการ ก็แจ้งว่าความต้องการของคนพิการในด้านการศึกษานั้นคืออะไร กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โอทอป ก็กล่าวถึงความต้องการและสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในด้านการศึกษาในกลุ่มของตนเอง ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ตนอยากทำ และเมื่อได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ส.ว.ในกลุ่มการศึกษา ก็จะทำอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การศึกษาที่ยังค้างอยู่ในสภาฯ อีกทั้งถ้าจะมองว่าการศึกษาของไทยจะดีหรือไม่ดีนั้นอยู่ที่แนวทางปฏิบัติ โดยส่วนตัวผ่านกระบวนการการเรียนรู้ด้วยการจัดการศึกษาโดยตรง จะเห็นชัดเจนคือสิ่งที่เรียนไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการ เพราะเมื่อเรียนในสิ่งที่ชอบต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับน้องๆ ทุกคนที่จะเป็นกำลังหลักของชาติในอนาคต เพราะถ้าชอบแล้วใช่ ก็จะไปด้วยกันได้ แต่ที่เห็นและเกิดขึ้นคือมาเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ เมื่อจบไปก็บอกไม่ใช่ โดยส่วนตัวขอทำหน้าที่ในการจัดการศึกษาที่ตรงกับความต้องการ และตรงกับความจริงที่กำลังเกิดขึ้น”

นายอัษฎางค์ แสวงการ

นายอัษฎางค์ กล่าวต่อว่า ถึงเวลาที่ต้องมาปรับให้ตรงกับสภาพความเป็นจริงและยอมรับได้ เด็กบางคนเรียน ๒ ปีจบก็มี ดังนั้นหลักสูตรหรือการปรับปรุงการศึกษาของไทย ต้องคุยกันใหม่ แม้เดิมเราจะมองว่าการบรรลุนิติภาวะคือ ๒๐ ปี แต่วันนี้น้องๆ อายุ ๑๕ ปี ๑๖ ปีก็ประกอบอาชีพหรือมาทำงานที่ตนเองชื่นชอบและต้องการบางอย่างกันได้แล้ว สามารถตัดสินใจได้บางอย่างแล้ว เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องล็อกหลักสูตร หรือระยะเวลาแบบเดิมแล้ว และโดยส่วนตัวยังคงมองว่าประเทศไทยต้องแบ่งการศึกษาให้ชัดเจน เด็กที่ชอบและเก่งด้านวิชาการหรือวิชาที่เรียนก็เน้นหนักในด้านอุดมศึกษาตามความชอบและความถนัด คนใดที่มีทักษะแต่ครอบครัวไม่พร้อม แต่สนใจในการประกอบอาชีพที่เรียกว่าอาชีวะ ซึ่งหากได้เรียน ได้อบรม ได้รับการพัฒนาทักษะ ก็สามารถนำไปประกอบอาชีพได้โดยไม่ต้องจบปริญญาตรี บางทีการจัดการเรียน ม.ต้น-ม.ปลาย มากถึง ๖-๗ ปี อาจจะนานไป อาจจะทำงานก่อนและเมื่อพร้อมก็กลับมาเรียน ก็อาจจะเป็นไปได้

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดชัดเจนในการได้มาซึ่ง ส.ว.ตามกลุ่มอาชีพที่ถนัด ดังนั้นก็มีความเข้าใจและถนัดตรงตามสาขาที่กำหนด แต่ทั้งนี้การทำงานก็ต้องรับฟังและเข้าใจในกลุ่มสาขาอื่นๆ ที่จะมาร่วมกันทำงานให้กับประเทศ แม้ในเริ่มต้นเราจะทำงานในกลุ่มสาขาอาชีพของเรา แต่ต่อไปก็จะเป็นการทำงานร่วมกันในทุกกลุ่มสาขา เพราะทุกคนสามารถให้ข้อคิดและนำเสนอประเด็นในกลุ่มอาชีพอื่นๆ ได้  แม้จะมีเวลาไม่นานในการเลือก ส.ว.ที่ทุกคนต้องเตรียมตัว ตนได้คุยกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับอีกหลายกลุ่ม ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าแต่ละกลุ่มมีความถนัด มีความต้องการและมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแน่นอน” นายอัษฎางค์ กล่าว

นายอัษฎางค์ กล่าวท้ายสุดว่า ขณะนี้คนภายนอกกำลังมองว่า ส.ว.อยู่สังกัดใด กลุ่มใด หรือแบ่งสีใด ซึ่งทั้ง ๒๐๐ ท่านที่ได้รับการเลือกเข้ามา ทุกคนมีความตั้งใจ มีความจริงใจ มีประสบการณ์ และได้รับความไว้วางใจจนได้รับเลือกตามกฎหมายกำหนด เราอย่าให้ความรู้หรือการศึกษามากำหนดกรอบ กำหนดบุคคลหรือกำหนดวุฒิภาวะ ทุกคนมีความรู้ความสามารถ บางท่านจบ ป.๔ หรือจบ ม.ปลาย แต่ก็มีความคิดและประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า เพราะตนได้พูดคุยกับทุกกลุ่มบุคคล ทุกกลุ่มอายุ ทุกคนมีแนวคิดและแนวทางของตนเอง บางครั้งก็รู้สึกว่าใช่ตามไปด้วย ดังนั้นหากจะมองว่าพวกมากลากไป หรือเกรงว่า ส.ว.จะโดนครอบงำ คงอาจจะเป็นไปได้ยาก จึงขอให้กระบวนการตรงนี้ ดำเนินการไป โดยเฉพาะผู้นำ ส.ว. ทั้งในส่วนของประธาน ส.ว. และรองประธานฯ ขอให้เป็นคนที่ดีมีประสบการณ์ มีภาวะผู้นำ ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยและหารือกันอีกครั้ง แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครประสานงานมาหรือพูดถึงในเรื่องนี้


นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๙ ฉบับที่ ๒๗๖๖ วันที่ ๑๕ เดือนมิถุนายน - วันที่ ๑๔ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๗


297 883