27thOctober

27thOctober

27thOctober

 

January 20,2015

สศอ.ชี้ช่องประโยชน์ FTA กระตุ้นใช้สิทธิ ๑๐๐%

   สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เผยการใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีศุลกากรจาก FTA ของอุตสาหกรรมไทย หวังกระตุ้นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีการใช้สิทธิไม่ถึง ๕๐% ทั้งภาคนำเข้าและส่งออกให้สูงขึ้น และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้ประโยชน์ในระดับที่สูงอยู่แล้วให้เต็มที่ ๑๐๐% เพื่อลดต้นทุนสินค้าให้มากยิ่งขึ้น

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย 

 

    นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยมาอย่างต่อเนื่องนั้น สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้ติดตามการใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีศุลกากรจาก FTA ที่มีผลบังคับใช้แล้วของไทย จำนวน ๑๑  ฉบับ กับ ๑๕ ประเทศ คือ ๑) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน ๒) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ๓) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ๔) ความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย ในกลุ่มสินค้าเร่งลดภาษี (Early Harvest) ๕) ความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างไทย-เปรู ๖) ความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ระหว่างไทย-นิวซีแลนด์ และ ๗) ความตกลงการค้าเสรีระหว่าง ASEAN กับประเทศคู่เจรจาต่างๆ อีก ๕ ฉบับ ได้แก่ จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ครอบคลุมสาขาอุตสาหกรรมจำนวน ๑๗ สาขา ทั้งยานยนต์ เหล็ก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังและรองเท้า อาหารอัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติก ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ไม้และเฟอร์นิเจอร์ เซรามิค เยื่อกระดาษ/กระดาษ/สิ่งพิมพ์ ปูนซีเมนต์ ยา และปิโตรเคมี 
     นายอุดม กล่าวต่อว่า จากผลการติดตามในปีที่ผ่านมา พบว่า ปี ๒๕๕๖ ประเทศที่ไทยส่งออกสินค้า โดยมีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ในภาพรวมต่ำมาก ได้แก่ เมียนมาร์ ร้อยละ ๗.๔, กัมพูชา ร้อยละ ๕.๗ และสปป.ลาว ร้อยละ ๓.๘ ผู้ส่งออกจึงมีโอกาสอีกมากในการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการส่งออกสินค้า โดยหากแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กลุ่มสินค้าที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA ในปี ๒๕๕๖ อยู่ในระดับต่ำ และไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ร้อยละ ๑๙.๓, เหล็ก/เหล็กกล้า ร้อยละ ๒๒.๕, เครื่องหนัง ร้อยละ ๓๑, ยา ร้อยละ ๓๕.๙, เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ ๓๗.๒, ปูนซีเมนต์ ร้อยละ ๔๑.๑, กระดาษ ร้อยละ ๔๑.๙, สิ่งทอ ร้อยละ ๔๓.๑ และอาหาร ร้อยละ ๔๕.๓ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงแต่ไม่เต็ม ๑๐๐% ได้แก่ พลาสติก ร้อยละ ๗๓.๓, ไม้และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ร้อยละ ๗๑.๓, เคมีภัณฑ์ ร้อยละ ๖๘.๗, เครื่องนุ่งห่ม ร้อยละ ๖๔.๙ และชิ้นส่วนยานยนต์ ร้อยละ ๕๒.๔  


     “นอกจากนี้ ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้สิทธิฯ สูงข้างต้น ยังมีสินค้าในกลุ่มอีกหลายชนิดที่สามารถใช้โอกาสเก็บเกี่ยวประโยชน์ด้านภาษีศุลกากรจาก FTA ในการส่งออกไปประเทศต่างๆ ได้อีก ซึ่งหากผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์เต็มที่ ๑๐๐% จะสามารถประหยัดภาษีเพิ่มขึ้น ทำให้สินค้ามีต้นทุนลดลง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน คือ ๑. สินค้าที่ส่งออกไปจีน ได้แก่ กล้องถ่ายโทรทัศน์, กล้องถ่ายภาพดิจิทัล, กล้องถ่ายบันทึกวีดิโอ, ข้าวขัดสี, ยางคอมพาวด์, มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังไม่เกิน ๓๗.๕ วัตต์ ๒. สินค้าที่ส่งออกไปมาเลเซีย ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์และอื่นๆ และ ๓. สินค้าที่ส่งออกไปลาว เช่น น้ำมันเบาและสิ่งปรุงแต่ง, น้ำมันปิโตรเลียมอื่นๆ เป็นต้น” นายอุดม กล่าว
    นายอุดม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้า โดยมีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ ในปี ๒๕๕๖ ภายใต้ FTA ในภาพรวมอยู่ในระดับไม่สูงนัก ได้แก่ ญี่ปุ่น ร้อยละ ๔๕.๒, สิงคโปร์ ร้อยละ ๔๒.๘, และอินเดีย ร้อยละ ๓๙.๑ โดยในส่วนของประเทศอาเซียนนั้นการนำเข้าจากเมียนมาร์มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์อยู่ในระดับต่ำมาก เพียงร้อยละ ๒.๑ โดยหากแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมจะพบว่า อัตราการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA ในปี ๒๕๕๖ ของผู้นำเข้าในกลุ่มอัญมณี ร้อยละ ๑๓, ปิโตรเคมี ร้อยละ ๓๖, เครื่องจักรกล ร้อยละ ๔๐.๘, เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ ๔๒, ไม้/เฟอร์นิเจอร์ไม้ ร้อยละ ๔๔.๔ และพลาสติก ร้อยละ ๔๖.๒ ซึ่งเห็นว่ายังมีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ในระดับไม่สูงนัก และไม่ถึงร้อยละ ๕๐ 


    สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงแต่ไม่เต็ม ๑๐๐% นายอุดม ระบุว่า ได้แก่ เหล็ก/เหล็กกล้า ร้อยละ ๗๒.๖, ยานยนต์ ร้อยละ ๗๑, เซรามิก ร้อยละ ๖๙.๙, เครื่องนุ่มห่ม ร้อยละ ๖๘.๕, อิเล็กทรอนิกส์ ร้อยละ ๖๖.๒, ยาง ร้อยละ ๖๕.๗, เคมีภัณฑ์ ร้อยละ ๖๕.๑, ยา ร้อยละ ๖๕.๔, กระดาษ ร้อยละ ๖๓.๔ และเครื่องหนัง ร้อยละ ๖๑.๗ นอกจากนี้ ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้สิทธิฯ สูงข้างต้น ยังมีสินค้าอีกหลายชนิดที่สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ด้านภาษีศุลกากรจาก FTA ในการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ได้อีก ซึ่งหากผู้ประกอบการมีการใช้สิทธิประโยชน์เต็มที่ ๑๐๐% จะสามารถประหยัดภาษีเพิ่มขึ้น ทำให้สินค้ามีต้นทุนลดลง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน คือ ๑. สินค้าที่นำเข้าจากจีน ได้แก่ เครื่องจักรกลและเครื่องอุปกรณ์อื่นๆ, ของอื่นๆ ที่ทำด้วยเหล็กและเหล็กกล้า ๒. สินค้าที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์, เครื่องจักรไฟฟ้าและเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า และ ๓. สินค้าที่นำเข้าจากเกาหลี ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของตัวถังสำหรับรถกระบะ และรถยนต์
     “หากดูการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้กรอบอาเซียน (AFTA) พบว่า ปี ๒๕๕๖ ภาคส่งออก ประเทศไทยมีอัตราการใช้สิทธิร้อยละ ๔๑ ขณะที่ภาคนำเข้า ประเทศไทยมีอัตราการใช้สิทธิร้อยละ ๕๒.๖ ซึ่งอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ AFTA ของภาคส่งออกในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ยังมีสินค้าสินค้าอุตสาหกรรมหลายกลุ่มที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ต่ำ  เช่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องจักรกล ยาง เซรามิก อัญมณี อาหาร สิ่งทอ กระดาษ ซีเมนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยา เครื่องหนัง เหล็กและเหล็กกล้า และอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ภาคนำเข้า สินค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มไม้/เฟอร์นิเจอร์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล และอัญมณียังมีอัตราการใช้สิทธิต่ำ ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ข้างต้น จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยที่ยังมีการใช้ประโยชน์ด้านภาษีศุลกากรจาก FTA ในระดับที่ต่ำอยู่หรือไม่สูงนัก ให้มาใช้ประโยชน์ด้านภาษีศุลกากรจาก FTA มากยิ่งขึ้น รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้ประโยชน์ในระดับสูงอยู่แล้ว ให้มาใช้สิทธิประโยชน์เต็มที่ ๑๐๐% ซึ่งก็จะสามารถประหยัดภาษีเพิ่มขึ้นและลดต้นทุนสินค้าได้อีกเป็นจำนวนมาก” ผู้อำนวยการฯ กล่าวในท้ายสุด


ฉบับที่ ๒๒๗๐ วันศุกร์ที่ ๑๖ - วันอังคารที่ ๒๐ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


685 1,347