10thSeptember

10thSeptember

10thSeptember

 

November 02,2010

จับแชร์ลูกหมาคาตลาด หนีหมายศาลกบดาน หลายล้านตร.ค้านประกัน

ตร.รวบผู้ต้องหาตามหมายศาล คดีฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ หลังออกตระเวนชักชวนปชช.ร่วมลงทุนขายลูกสุนัขสวยงาม อ้างตลาดต้องการสูง เหยื่อหลงเชื่อเพราะได้เงินเร็วแถมกำไรงาม สุดท้ายถูกเชิดเงินหนีนับสิบล้านบาท ตำรวจต่างท้องที่สืบทราบ หนีกบดานพร้อมตระเวนขายสินค้าตามตลาดนัด

คดีแชร์ลูกโซ่ฟาร์มลูกสุนัข

ตามที่ “โคราชรายวัน คนอีสาน” นำเสนอข่าว น.ส.นัฐปภัสร์ จารัตน์พรกุล อายุ ๓๗ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๕๑๗ บ.ตรวจระบอบพัฒนา ม.๑๙ ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ และน.ส.วิไลรัตน์ ศรีทองคำ อายุ ๒๘ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๗๕/๑ ม.๘ บ.ม่วงมนต์ ต.หนองบัว อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ พร้อมด้วยประชาชนรวม ๕ คน จากผู้เสียหายกว่า ๒๐ ราย นำภาพถ่ายของนายเติมพงษ์ โสมเกษตรินทร์ อายุ ๒๙ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๖๓๗ ม.๒ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และน.ส.ธนกมล ทองคำบุตร อายุ ๓๓ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๒๔๐ ม.๕ ต.ซำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมหมายจับจำนวน ๒ ฉบับ เลขที่ จ.๘๑/ ๒๕๕๓ และ เลขที่ จ.๘๒/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ออกโดยศาลจังหวัดสุรินทร์ ตามคำร้องของพ.ต.ท.บุญรอด เจริญยิ่ง พนักงานสอบสวน (สบ.๒) สภ.เมืองสุรินทร์ ในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยผู้ต้องหาทั้ง ๒ ราย เป็นคู่สามีภรรยา ประกอบอาชีพขายลูกสุนัขพันธุ์สวยงามตามตลาดนัด และมีร้านขายสุนัข ‘กังฟู’ ตั้งอยู่ตรงข้ามสนามกีฬาศรีณรงค์ อ.เมือง จ.สุรินทร์

นำหมายศาลร้องสื่อมวลชน

โดยบุคคลทั้ง ๒ มีพฤติกรรมเข้าตีสนิทพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนในพื้นที่ให้ร่วมลงทุนขายลูกสุนัขสายพันธุ์สวยงาม และอ้างว่ามีคำสั่งซื้อจำนวนมากจากฟาร์มในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ขณะที่บางสายพันธุ์ต้องสั่งซื้อจากตลาดนัดสวนจตุจักร กรุงเทพฯ โดยใช้วิธีร่วมลงทุนคนละครึ่ง เช่น มีคำสั่งซื้อสุนัขจำนวน ๑๐ ตัว ก็จะลงทุนคนละ ๕ ตัว ราคาตัวละ ๔,๐๐๐ บาท ซึ่งหลังจากจ่ายเงินแล้ว ทั้งสองจะโอนเงินทุนและกำไรให้ภายใน ๔ วัน จากนั้นจะชักชวนลงทุนเพิ่มเป็น ๑๐-๒๐ ตัว กระทั่งครบจำนวน ๑๐๐ ตัว และชักชวนให้เปิดสต็อกใหม่ เริ่มต้นที่จำนวน ๒๕ ตัวต่อไปเรื่อยๆ โดยรับปากจะจ่ายเงินลงทุนพร้อมกำไรงวดแรกภายในเวลา ๔ วัน แต่จากนั้นจะขอเลื่อนจ่ายเป็น ๑๐ วัน กระทั่งผู้เสียหายไม่สามารถติดต่อบุคคลทั้ง ๒ ได้ เมื่อเดินทางมาตรวจสอบยังร้านที่กล่าวอ้างปรากฏว่าร้านดังกล่าวปิดไปแล้ว ทำให้ผู้เสียหายในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ มีทั้งผู้ที่ประกอบอาชีพค้าขาย ข้าราชการ และประชาชน หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกงครั้งนี้รวมมูลค่าความเสียหาย เป็นเงินจำนวนหลายสิบล้านบาท จึงรวมตัวเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ กระทั่งต่อมานำเรื่องเข้าร้องเรียนสื่อมวลชน ที่ด้านหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองสุรินทร์ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคมที่ผ่านมา

ตร.รวบแล้ว ๒ ผัวเมียโกง

ล่าสุดเมื่อเวลา ๒๓.๐๐ น. วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ พ.ต.ท.ปพล โสพัฒน์ สว.(สส.) สภ.เมืองนครสวรรค์ พร้อมด้วย ร.ต.อ.มาวิน สามล รอง สว. สส. สภ.เมืองนครสวรรค์ และตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ เข้าจับกุมนายเติมพงษ์ โสมเกษตรินทร์ อายุ ๒๙ ปี และน.ส.ธนกมล ทองคำบุตร อายุ ๓๓ ปี ที่บริเวณตลาดนัดศรีนคร หมู่ ๙ ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ผู้ต้องหาสองสามีภรรยา ที่หลบหนีการจับกุมในคดีฉ้อโกงประชาชนตามหมายศาลจังหวัดสุรินทร์ หลังได้รับเบาะแสจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน กระทั่งทราบว่าบุคคลทั้งสองหลบหนีมากบดาน และตระเวนขายสินค้าตามตลาดนัดในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นประสานส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองราย ให้พ.ต.ท.บุญรอด ยิ่งเจริญ พนักงานสืบสวน(สบ.๒) สภ.เมืองสุรินทร์ เจ้าของคดี ดำเนินการตามกฎหมาย มีผู้เสียหายที่ถูกสองสามีภรรยาโกงกว่า ๑๐ ราย เดินทางมาชี้ตัวที่สภ.เมืองสุรินทร์ตลอดวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ พร้อมกันนี้ญาติผู้ต้องหาทั้ง ๒ ราย พยายามติดต่อขอประกันตัว แต่เบื้องต้นพนักงานสืบสวนคัดค้านการประกันตัว

มูลค่าเสียหายมากค้านประกัน  

พ.ต.ท.บุญรอด เจริญยิ่ง พนักงานสอบ สวน (สบ.๒) สภ.เมืองสุรินทร์ เจ้าของคดี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รวบรวมสำนวนคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นำส่งอัยการจังหวัดสุรินทร์แล้ว เพื่อดำเนินการส่งฟ้องศาลต่อไป และตนในฐานะพนักงานสอบสวนได้ยื่นคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากคดีความดังกล่าวมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมากถึง ๑๖ ล้านบาทเศษ อย่างไรก็ตาม ในการที่ผู้ต้องหาจะได้ประกันตัวหรือไม่นั้น อยู่ที่กระบวนการพิจารณาของศาลว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่ แต่จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหารับสารภาพว่ากระทำการฉ้อโกงประชาชนด้วยลักษณะแชร์ลูกสุนัขจริง

จับได้เพราะสื่อเสนอข่าว

ขณะที่ ร.ต.อ.มาวิน สามล รอง สว.สส. สภ.เมืองนครสวรรค์ เปิดเผยว่า ตำรวจสภ.เมืองนครสวรรค์ ทราบข่าวผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงหลบหนีหมายศาลจังหวัดสุรินทร์ จากการนำเสนอของสื่อมวลชน กระทั่งพบบุคคลต้องสงสัยที่มีรูปพรรณใกล้เคียงกับสองสามีภรรยาดังกล่าว ตระเวนขายสินค้าตามตลาดนัดในพื้นที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ จึงจัดชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าสังเกตพฤติกรรมมาระยะหนึ่ง พร้อมประสานมายัง ตำรวจสภ.เมืองสุรินทร์ เพื่อตรวจสอบข้อมูลของบุคคลต้องสงสัยทั้งสองราย ว่าเป็นผู้อยู่ในหมายศาลที่ ตำรวจสภ.เมืองสุรินทร์ กำลังตามจับอยู่หรือไม่ หลังจากตรวจสอบข้อมูลเป็นที่แน่ชัดแล้ว พ.ต.ท.ปพล โสพัฒน์ สว.สส.สภ.เมืองนครสวรรค์ จึงสั่งการให้ตำรวจเข้าจับกุมบุคคลทั้ง ๒ หลังจากตลาดนัดเลิกในเวลา ๒๓.๐๐ น. ของวันที่ ๒๘ ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนนำตัวผู้ต้องหาส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เสียหายหลายสิบล้านบาท

ด้าน น.ส.นัฐปภัสร์ จารัตน์พรกุล แม่ค้าชาวจังหวัดสุรินทร์ หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนและผู้เสียหายคนอื่นๆ กว่า ๑๐ ราย ต้องขอบคุณสื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองสุรินทร์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองนครสวรรค์ ที่ไม่ละเลยในความเดือดร้อนของประชาชน ให้ความสนใจคดีอย่างถึงที่สุด กระทั่งสามารถติดตามจับกุมสองสามีภรรยามาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะได้เงินคืนมาหรือไม่ โดยมีตั้งแต่หลักหมื่นบาทไปถึงหลักแสน ขณะที่บางรายต้องสูญเสียเงินจำนวนหลายล้านบาท แต่อย่างน้อยก็รู้สึกโล่งใจที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ ก่อนที่จะไปหลอกลวงประชาชนในพื้นที่อื่นอีก

คอกสุนัขลม

“ตนถูกหลอกให้ร่วมลงทุนกับสามีภรรยาคู่นี้กว่า ๔ ล้านบาท มีลูกสุนัขพันธุ์สวยงามอยู่ในสต็อกถึง ๘๐๐ ตัว แต่ก็ไม่เคยเห็นลูกสุนัขในคอกของตนตามที่สองสามีภรรยากล่าวอ้างแต่อย่างใด สุดท้ายคงเป็นเพียงแค่สุนัขลมเท่านั้น ทั้งที่รู้จักบุคคลทั้งสองมานานกว่า ๕ ปี และไม่เคยคิดว่าจะถูกหลอกในลักษณะแชร์ลูกโซ่เช่นนี้ คิดว่าเป็นการร่วมลงทุนกับคนที่รู้จัก และเมื่อเห็นว่าลงทุนแล้วได้กำไรง่ายและเร็ว จึงยอมลงทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ มาทราบภายหลังจากที่ติดต่อไม่ได้ เมื่อตามไปพบที่ร้าน ปรากฏว่าทั้งคู่ได้ปิดกิจการไปแล้ว และพบว่ามีประชาชนอีกหลายคนที่กำลังตามตัวบุคคลทั้งสองเช่นเดียวกัน” น.ส. นัฐปภัสร์ กล่าว และว่า

อุทาหรณ์เตือนใจ

“บางคนถูกสามีภรรยาคู่นี้หลอกเป็นเงินตั้งแต่หลักแสน ถึงหลักล้านบาท โดยเฉพาะนางเบญจลักษณ์ จำปามูล ครูโรงเรียนบ้านรุณ อ.พนมดงรัก ที่ถูกหลอกมูลค่าถึง ๑๐ ล้านบาท ยังไม่รวมเพื่อนครูอีกหลายคนที่ต้องหมดเนื้อหมดตัว ซึ่งต้องขอบคุณสื่อมวลชน และตำรวจทั้ง ๒ พื้นที่ ที่จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้สำเร็จ เพราะเชื่อว่ายังคงมีคนที่ถูกหลอกและยังไม่รู้ตัวอีกจำนวนมาก โดยคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า ๒๐ ราย มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า ๓๐ ล้านบาท จึงขอฝากไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้สังคม ระวังอย่าหลงเชื่อบุคคลที่มีพฤติกรรมในลักษณะนี้” น.ส.นัฐปภัสร์ กล่าวย้ำในท้ายสุด


ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๑๙๗๓ วันที่ ๒-๔ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓


689 1,384