January 24,2020
ศาลสั่ง สธ.จ่าย ๒.๘ ล. รถ รพ.ชนเด็กพิการ
ศาลฎีกาพิพากษายืน ให้กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ่ายเงินชดใช้ครอบครัวน้องปาล์ม เหยื่ออุบัติเหตุ ถูกรถโรงพยาบาลชนขาพิการเมื่อปี ๒๕๕๘ จำนวน ๒,๘๓๔,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ น.ส.ปวีณา หาทรัพย์ อายุ ๓๐ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๒๐ ม.๑ ต.ล็อคใหม่ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น อุ้มลูกชายด.ช.ปราบปราม หรือน้องปาล์ม เจิมขุนทด เข้าร้องขอความช่วยเหลือที่ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด เนื่องจากถูกรถของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ขับชนเมื่อปี ๒๕๕๘ เป็นเหตุให้ ด.ช.ปราบปราม มีอาการชาตั้งเเต่ราวนมมาถึงช่วงล่าง ไม่มีความรู้สึก และเดินไม่ได้ อีกทั้งเวลาขับถ่ายไม่มีความรู้สึก ทำให้ต้องใส่แพมเพิสและปัสสาวะทางสายยาง ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลแขวงขอนแก่น มีคำพิพากษาให้นายเกต นาถมทอง อายุ ๖๘ ปี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านของโรงพยาบาลดังกล่าวและเป็นคนขับรถ ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา ๖ เดือน ปรับเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท รอลงอาญา ๒ ปี
ทั้งนี้ ในส่วนของคดีแพ่ง ทางผู้เสียหาย คือ นายศราวุฒิ เจิมขุนทด บิดาของน้องปาล์ม ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ร่วมกับน้องปาล์มเป็นโจทก์ที่ ๑ น้องปาล์มเป็นโจทก์ที่ ๒ และนางสาวปวีณา หาทรัพย์ แม่ของน้องปาล์ม เป็นโจทก์ที่ ๓ ร่วมกันฟ้องกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ ๑ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ ๒ โดยฝ่ายโจทก์ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ๓ ส่วน ประกอบด้วยโจทก์ที่ ๑ คือ พ่อน้องปาล์มเป็นเงินจำนวน ๒๑,๕๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ คือ น้องปาล์ม เป็นเงินจำนวน ๘,๓๗๑,๓๒๔ บาท และโจทก์ที่ ๓ คือ แม่น้องปาล์ม เป็นเงินจำนวน ๑,๙๔๔,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหายทั้งหมด ๑๐,๓๓๖,๘๒๔ บาท โดยมีการไกล่เกลี่ยกันมาหลายครั้ง และลดหย่อนมาต่อเนื่อง แต่ฝ่ายโจทก์ปฏิเสธ จึงยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ กระทั่งศาลชั้นต้นได้พิจารณาและมีคำพิพากษาความแพ่งให้จำเลยทั้ง ๒ ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงินทั้งหมด ๒,๙๓๕,๗๐๐ บาท ต่อมาจำเลยทั้ง ๒ ได้ขอยื่นอุทธรณ์ต่อศาล
ล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ที่ห้องพิจารณาคดี ๓ ศาลจังหวัดชุมแพ ศาลฎีกาได้นัดฟังคำพิพากษา ที่ ครพ.๕๙๕๒/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ ความแพ่ง เรื่องละเมิดระหว่าง นาย ศราวุธ เจิมขุนทด, ด.ช.ปราบปราม หรือน้องปาล์ม เจิมขุนทด, น.ส.ปวีณา หาทรัพย์ ผู้แทนโดยชอบธรรมของน้องปาล์ม และน.ส.ปวีณา หาทรัพย์ ในฐานะฝ่ายโจทก์ ได้ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะจำเลย
โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ตามที่จำเลยได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา พร้อมฎีกาคัดค้านคำพิพากษาอุทธรณ์ภาค ๔ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามที่โจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านการขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกา และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณากับให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ฝ่ายโจทก์แก้ฎีกา ซึ่งเมื่อโจทก์ยื่นคำแก้ฎีกา หรือครบกำหนดแล้วหากโจทก์ไม่ยื่นคำแก้ฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวบรวมสำนวนส่งคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป
ส่วนที่จำเลยได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกานั้นพิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาเฉพาะในส่วนของค่าเสียหายเพียง ๑๐๔,๓๐๐ บาท เมื่อจำเลยทั้งสองยังคงต้องรับผิด จึงมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นจำนวนเงิน ๒,๗๓๐,๕๐๐ บาท กรณีนี้ จึงไม่มีเหตุสมควรให้ทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ยกคำร้อง
ทั้งนี้ภายหลังศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาศาลฏีกาแล้วเสร็จ นายศราวุธ เจิมขุนทด บิดาของน้องปาล์ม กล่าวว่า การเรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนั้น สิ่งที่อยู่ในใจคือ ทุกอย่างดูล่าช้า ทั้งที่กระทรวงสาธารณสุขมีงบประมาณที่จะเยียวยาผู้เสียหาย เพราะตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุปี ๒๕๕๘ ถึงขณะนี้น้องปาล์มอายุ ๕ ขวบ ๕ เดือนแล้ว ที่ผ่านมา ครอบครัวยินยอมรับเงื่อนไขของกระทรวงฯ มาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีข้อสรุป โดยเฉพาะในเรื่องของการเยียวยาครอบครัวที่เรียกร้องไป ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดค่าเสียหายอันเป็นค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๘๓๔,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป แต่กระทรวงฯ ยังไม่สรุปกระทั่งมาถึงศาลฎีกา เพิ่งจะได้ข้อสรุปคือ ลดค่าเยียวยาไป ๑๐๔,๓๐๐ บาท ซึ่งเข้าใจว่า การลดหย่อนจำนวนนี้ น่าจะลดในส่วนของเงินที่คนขับรถได้จ่ายค่าเยียวยามาให้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงมีการชดใช้ค่าเสียหายให้ทางครอบครัวดังกล่าว โดยครอบครัวพอใจกับคำพิพากษาของศาลฎีกา แต่ทั้งนี้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาจำนวนตัวเลขผิดจาก ๒,๘๓๔,๘๐๐ บาท เป็น ๒,๗๓๐,๕๐๐ บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่จำเลยขอยื่นฎีกา โดยในส่วนนี้ทางครอบครัวจะไปปรึกษากับทนายความก่อนว่าจะแก้คำฎีกาหรือไม่ ถ้าแก้ก็ให้ทนายทำเรื่องยื่นต่อศาลภายใน ๑๕ วัน แต่ถึงไม่แก้ก็ไม่เป็นอะไร
“ที่ผ่านมาครอบครัวต่อสู้มาจนหมดเนื้อหมดตัว ออกจากงานทั้งสองคน เพื่อมาดูแลลูกชายที่พิการ ขายที่ดิน กู้ยืมเงินมารักษาลูกซึ่งเติบโตขึ้นทุกขึ้น ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ส่วนเงินที่ได้จากการเยียวยานั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เก็บเข้าบัญชีธนาคารไว้รักษาเลี้ยงดูน้องปาล์ม เพราะขณะนี้พ่อแม่กลับมาอยู่บ้านค้าขายเล็กๆ น้อยๆ และจะแบ่งบางส่วนมาใช้หนี้” นายศราวุธ กล่าว
พร้อมกันนี้ในขณะที่พ่อแม่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวนั้น น้องปาล์มซึ่งนั่งอยู่ในอ้อมกอดของมารดา มีท่าทีร่าเริง ทั้งยังบอกว่า “โตขึ้นอยากเป็นตำรวจ จะช่วยพ่อแม่เก็บเงินใช้หนี้”
ปีที่ ๔๕ ฉบับที่ ๒๖๑๒ วันพุธที่ ๒๒ - วันอังคารที่ ๒๘ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๓
875 1,589