August 21,2020
คดีสนามฟุตซอล ทัพครูทนไม่ไหว ปปช.ให้ออกราชการ
วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ที่ห้องประชุมใหญ่สำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครราชสีมา จำกัด ดร.ปิยะพัชร์ เดชจรรยา ประธานชมรมคนไม่ทนต่อการทุจริตเปิดโปงอย่างสร้างสรรค์ รักษาและผดุงไว้ซึ่งจริยธรรมคุณธรรมของสังคม พร้อมด้วย นายปฐมฤกษ์ มณีเนตร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานคร ราชสีมา เขต ๑ (สพป.นม.๑) ในฐานะประธานชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูจังหวัดนครราชสีมา พร้อมพวกรวม ๕๕ คน เช่น นายชูเกียรติ วิเศษเสนา อดีต ผอ.สพม.๓๑ นม. เป็นต้น ทั้งหมดเป็นอดีตและเป็นข้าราชการครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา (สพป.นม.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๓๑ นครราชสีมา (สพม.๓๑ นม.) โรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษาในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งได้รับผลกระทบจากมติ ป.ป.ช. ตั้งข้อกล่าวหาฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๔ ได้จัดเวทีเสวนาปัญหาและผลกระทบกรณีโครงการปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอลโรงเรียน) ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๕ ของสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มูลความเสียหายประมาณ ๒๐๐ ล้านบาท พร้อมทำพิธีให้สัตย์ปฏิญาณต่อแผ่นดิน โดยอัญเชิญปวงเทพเทวา ครูอาจารย์ ชุมนุมเทวดา ก่อนลั่นฆ้องชัยและร่วมร้องเพลงครูในดวงใจ
นัดรวมตัวชี้แจงข้อเท็จจริง
นายปฐมฤกษ์ มณีเนตร กล่าวว่า “จากมติ ป.ป.ช. กล่าวหาว่า มีครูทุจริตทั้งหมด ๕๕ คน และมีคำสั่งไล่ออกจากราชการ ซึ่งเป็นข้าราชการครูสังกัด สพป.นม.๒ จำนวน ๗ คน และมีแนวโน้มสำหรับครูคนอื่นๆ ที่จะถูกไล่ออกตามมาในอนาคต ซึ่งการถูกไล่ออกจากราชการเหมือนเป็นการถูกประหารชีวิต สิทธิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บำเหน็จ บำนาญ สวัสดิการจากรัฐ ล้วนหายไปทั้งหมด ครูหลายคนร้องไห้ หลังจากมีมติ ป.ป.ช. ระบุว่าทุจริต ได้ทำการส่งเอกสารไปยังผู้บังคับบัญชา สพฐ. ส่งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ อีกทั้งมติของ ป.ป.ช. ตามขั้นตอนต้องถูกไล่ออกจากทางราชการก่อน จึงสามารถฟ้องศาลอุทธรณ์ได้ ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปี ฟ้องศาลปกครองต้องใช้เวลา ๔-๕ ปี กว่าจะมีการตัดสินคดี จะเอาอะไรอยู่ เอาอะไรกิน”
“เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคมที่ผ่านมา นายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ลงนามในคำสั่ง สพฐ. โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๙๘ มาตรา ๑๐๐ วรรค ๔ และวรรค ๕ และมาตรา ๑๐๒/๑ แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติมและมาตรา ๙๘ แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ ประกอบกับระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยวันออกจากราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๘ ลงนามในคำสั่งไล่ออกจากราชการ ซึ่งเป็นข้าราชการครูสังกัด สพป.นม.๒ จำนวน ๗ คน ไทม์ไลน์ภายในเดือนสิงหาคมนี้ คำสั่งต่อไปจะเป็นคิวของข้าราชการครูที่เหลือ การถูกคำสั่งไล่ออกถือเป็นการพ้นจากสภาพการเป็นข้าราชการและไม่มีสิทธิ์รับบำเหน็จ บำนาญ รวมทั้งต้องคืนเงินนับตั้งแต่วันครบอายุเกษียณราชการและผู้ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน ต้องออกจากราชการทันทีมีหลายคนยังเป็นผู้บริหารใน สพป. และสังกัดโรงเรียนประถมและมัธยมชื่อดังเปรียบเสมือนการประหารชีวิตหรือตายทั้งเป็น” นายปฐมฤกษ์ กล่าว
จากนั้นนายปฐมฤกษ์ มณีเนตร, นายพิสิษฐ์ ชดกิ่ง อดีต ผอ.สพป.นม.๑ นายชูเกียรติ วิเศษเสนา อดีต ผอ.สพม.๓๑ นม. นายพจน์ เจริญสันเทียะ อดีต ผอ.สพป.นม.๕ นายนิคม สุวรรณหา อดีต ผอ.รร.บ้านปากช่อง (คุรุสามัคคี ๑) และนายบำรุง โลหะการก ผอ.รร.บ้านโตนด ได้ขึ้นเวทีเสวนาชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรม และมีข้อเรียกร้อง ๓ ข้อ ดังนี้ ๑.ขอให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ที่มีความเป็นกลางมาปฏิบัติหน้าที่สอบสวนผู้ถูกกล่าวหาและผู้เกี่ยวข้อง ๒.ป.ป.ช.ต้องพิจารณาทบทวนข้อมูลของเลขาธิการ สพฐ. และ ๓.ต้องการให้สังคมรับทราบว่าครูโคราชไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตและไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ จากการดำเนินโครงการดังกล่าว
คณะครูพร้อมเคลื่อนไหว
ด้าน ดร.ปิยะพัชร์ เดชจรรยา หรือที่คณะครูเรียกอาจารย์ปู่ เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า “การดำเนินการสนามฟุตซอลเป็นงบแปรญัตติ ซึ่งมี ส.ส. เป็นคนแปรม และกระบวนการทำ กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ถ้าสืบสวนสอบสวนให้ดี จะเห็นว่าจัดให้บริษัทเดียวเป็นผู้ประมูลได้ทั้งหมด ดำเนินการต่างๆ เหมือนมัดมือชก ครูที่อยู่ ณ โรงเรียนจำใจต้องยอมรับในเรื่องต่างๆ ของสนามฟุตซอลทั้งที่ไม่อยาก ในฐานะอยู่ภาคประชาชนไม่อาจเห็นความอยุติธรรมนี้ได้ และเสียดายภาษีประชาชน คิดว่าถึงเวลาแล้วในการจับมือตีแผ่ความจริง เอาคนทุจริต เอาคนทรยศต่อชาติ ต่อแผ่นดินที่โกงเงินภาษีมาประจานให้สังคมได้รับรู้ ทั้งนี้ ตามข่าวที่ผ่านมาทางผู้บริหารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น สพฐ. หรือหน่วยงานอื่นๆ มักเสนอว่า ครูทำไมไม่ใช้สิทธิ์ของครูในการอุทธรณ์คำสั่ง ในการฟ้องศาล ซึ่งตามกระบวนการต้องใช้ระยะเวลา ๕-๖ ปี ครูที่ถูกไล่ออกจากราชการจะอยู่กินอย่างไร และปู่ทนไม่ได้จึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ สั่งสอนให้ทราบว่า ประชาชนรู้เรื่องนี้ ประชาชนพร้อมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อไม่ให้บ้านเมืองแย่ไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ได้เขียนลงในเอกสารที่พวกท่านได้รับ เขียนเอง ทำเอง และกำลังจะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า บัดนี้กองศึกของลูกหลานย่าโมได้ตีดังขึ้นแล้วเพื่อประกาศศึกกับความอยุติธรรม เราไม่ได้บอกว่าประกาศศึกกับใคร แต่เราประกาศศึกกับความอยุติธรรม ใครคนไหนที่เป็นคนมอบความอยุติธรรมให้กับเราก็ต้องเจอกัน และในวันพรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปมอบเอกสารสำคัญนี้ พร้อมกับอ่านแถลงการณ์ที่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา, กอ.รมน ภาค ๒, แม่ทัพภาคที่ ๒, ศึกษาธิการ ภาค ๑๓ และ ป.ป.ช.พร้อมป้ายแสดงความคิดเห็นให้ ป.ป.ช. ได้รับทราบว่าเป็นหน่วยงานหนึ่ง เป็นองค์กรอิสระ ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน เราไม่ได้เอากฎหมู่มาสู้กับกฎหมาย แต่เราเรียกร้องให้ประชาชนได้เห็นว่า ทนไม่ได้แล้วจริงๆ จึงลุกขึ้นมาสู้ โดยเฉพาะอาชีพครูอาชีพที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก คือมีความอดทนสูง ถ้าครูลุกมาสู้ขนาดนี้ ถือว่าสุดจะทนแล้ว ทนไม่ได้แล้วถึงลุกฮือขึ้นมา”
“แน่นอนว่า เรื่องนี้จะกระจายไปทั่วประเทศ เพราะบัดนี้คุณครูในภาคอีสานได้เข้ามาหมดแล้ว และครูไม่ได้เรียกร้องเกินสิทธิอันพึงมีของครู แต่ครูเรียกร้องความยุติธรรม เอาความยุติธรรมคืนมาบ้าง ถ้าความยุติธรรมไม่มีในสังคมนี้ สังคมจะอยู่ได้อย่างไร ประชาชนจะอยู่ได้อย่างไร ทั้งนี้ จะขับเคลื่อนอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน และในเอกสารที่มอบให้ จะมีท่อนหนึ่งที่ว่า “ในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยนั้น การรวมตัวอย่างทระนงองอาจของบุคลากรทางการศึกษาที่ผ่านมาในอดีต ได้เปลี่ยนแปลงประเทศนี้มาเยอะแล้ว” อีกทั้งยังมีแนวร่วมส่งข้อมูลมามอบให้เป็นจำนวนมาก เราได้รับข้อมูลตรงนั้นเปรียบเสมือนยาวิเศษ และที่สำคัญคือสื่อมวลชน ที่ช่วยเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคุณครูด้วย บัดนี้กองศึกที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมได้ตีขึ้นแล้วที่กลางใจเมืองย่าโม ลูกหลานเมืองย่าโมพร้อมประกาศตัวเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันที่จะเรียกร้องความยุติธรรม ขับไล่ความ อยุติธรรมให้หมดไป อย่างไรก็ตาม หากมีผู้มีอำนาจเข้ามาตรวจสอบ พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการกลาง เราก็จะหยุดเคลื่อนไหวและรอฟังผล เรามั่นใจว่าเราไม่ผิด กรรมการควรเป็นบุคคลที่สังคมไว้วางใจ ถ้าเป็นไปได้ อยากให้เป็น อาจารย์วิชา มหาคุณ ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ดูสำนวนทั้งหมด หาก ป.ป.ช. ผิดต้องโดนลงโทษ” อาจารย์ปู่ กล่าว
มั่นใจไม่ได้ทำการทุจริต
ด้านนายชาญ อยู่เกาะ อดีต ผอ.รร.วัดบ้านอุ่มจานโนนงิ้ว อำเภอประทาย ผู้ได้รับผลกระทบคนแรก เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า “ตนเป็นเพียงผู้ดำเนินการและสังเกตการณ์เท่านั้น นี่คือข้อเท็จจริง แต่ถูกชี้มูลความผิดเพราะเชื่ออย่างสุจริตว่า ผู้บังคับบัญชาจะพาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ประกอบกับบุคลากรที่ไม่มีความรู้ เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีใครผ่านการอบรมเรื่องนี้มาก่อน ในเมื่อผู้มีอำนาจแนะนำจึงกระทำตาม ซึ่งขณะนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ชี้แจงให้ ก.ค.ศ. ได้เข้าใจว่า สิ่งที่ ป.ป.ช. ชี้ว่ามีส่วนรู้เห็นนั้น เราไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด ไม่ได้มีเหตุทุจริต โดยหวังว่า ป.ป.ช. จะเข้าใจ ในส่วนที่เราชี้แจงยื่นอุทธรณ์ไป และรอผลอุทธรณ์ว่าเป็นอย่างไร หากเป็นผลที่พึงพอใจก็จบ แต่หากผลออกมาไม่พึงพอใจก็ต้องพึ่งศาลปกครองต่อไป อย่างไรก็ตาม เราถูกกล่าวหาว่าเราร่วมมือกับนักการเมือง ซึ่งเราต้องชี้แจงให้เข้าใจว่า จุดไหน เวลาไหน ที่เรามีพฤติกรรมว่าเราไปร่วมกับเขา เพื่อให้ไม่เกี่ยวข้องในส่วนที่เป็นคดีอาญา”
“คิดว่าผมเป็นแพะแน่นอน ซึ่งขณะนี้เหลืออายุราชการ ๖ ปี ถือว่ามากพอสมควร แต่เมื่อมีมติไล่ออก ทุกอย่างจบสิ้น ได้รับผลกระทบทั้งบำเหน็จ บำนาญ ซึ่งผมมีอาชีพเดียวคืออาชีพครูทำงานด้วยความตั้งใจมาโดยตลอด เพื่อเด็กและเยาวชน กล้ายืนยัน ๑๐๐% จากคนที่รู้จักว่า ไม่ได้ทุจริต มีแต่ใช้ทรัพย์สินส่วนตัวในการบริหารและพัฒนาการศึกษา ช่วงหนึ่งถึงขนาดภูมิใจที่ผู้ใหญ่บ้านกล่าวชมว่า ‘เหมือนเทวดาที่มาโปรดบ้านเรา’ ผมภูมิใจจนถึงทุกวันนี้ แต่หากผมต้องโดนคดีนี้ ซึ่ง ๔-๕ เดือนที่ผ่านมานี้ ผมถามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหน ความยุติธรรมมีจริงไหม นี่คือความรู้สึกที่อยู่ข้างใน ถ้าหากผมต้องโดนคดีนี้ ผมถือว่าสองสิ่งนี้ไม่มีอยู่จริง ถ้าหากสิ่งที่ผมชี้แจงอยู่นี้ไม่เป็นความจริง ขอให้มีอันเป็นไป จะเร็วที่สุดเท่าไหร่ก็ได้ นี่คือความในใจที่ไม่เคยพูดที่ไหน ชีวิตเปลี่ยนไปหมดทุกสิ่ง ทั้งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี รวมไปถึงเรื่องเงินทองซึ่งปัจจุบันต้องหางานเพื่อมีรายได้ ชำระหนี้สินต่างๆ เนื่องจากอาชีพครูนั้น แม้เงินเดือนจะมากแต่ก็พอเพียงแค่ยังชีพเท่านั้น การสร้างครอบครัวที่มั่นคงนั้น ด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้เป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยระบบการกู้ยืมเพื่อแบ่งเบาภาระ ปัจจุบันทำงานนอกเวลาซึ่งยังดีที่มีงานทำ เนื่องจากคุณสมบัติการถูกไล่ออกนั้น ไม่มีใครต้องการ สร้างความอับอาย ในช่วงแรกไม่กล้ารับโทรศัพท์ใคร หลายคนบอกคำนำหน้า ผอ. ไม่มีแล้ว จะเปลี่ยนเป็น นช. นำหน้าแทน” นายชาญ กล่าว
แถลงการณ์ต่อหน้าย่าโม
จากนั้นเวลา ๑๗.๐๐ น. วันเดียวกัน คณะครูได้นัดรวมพลเดินทางมาที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ประกอบพิธีบวงสรวงย่าโม โปรยทรายศักดิ์สิทธิ์ และให้สัตย์ปฏิญานต่อแผ่นดินต่อหน้าย่าโม โดยดร.ปิยะพัชร์ แถลงหลังทำพิธีบวงสรวงว่า “ขอบคุณเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา ขอกราบเรียนความเป็นมาในเบื้องต้น สำหรับบุคลากรทางการศึกษาที่อยู่ที่นี่ ซึ่งได้รับความอยุติธรรมในการชี้มูลความผิดจาก ป.ป.ช. จึงลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องขอความเป็นธรรมที่ลานย่าโมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ผ่านไปถึงผู้มีอำนาจให้ทราบว่า พวกเราไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เสื้อที่เราใส่จะมีข้อความอยู่ด้านหน้าว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” และข้อความด้านหลังของเสื้อ “มนุษย์ยอมทนได้ทุกเรื่อง ยกเว้นความอยุติธรรมจะทนไม่ได้” จึงลุกขึ้นมาต่อสู้และตอบโต้ว่าเราไม่ได้กระทำความผิด ไม่ได้กระทำการทุจริต และเรียกร้องให้มีการสอบสวนไต่สวนใหม่จากองค์กรที่เป็นอิสระและเป็นธรรม ทั้งนี้ได้ทำพิธีบวงสรวงเพื่อเสริมกำลังใจว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกหลานย่าโมจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม”
“ไม่มีสิ่งใดที่จะเจ็บปวดเท่าครั้งนี้อีกแล้ว วงการการศึกษาไทยถูกเหยียบย่ำ โดนดูถูกดูแคลนแสนสาหัส และถึงเวลาอีกเช่นกัน ที่ลูกหลานย่าโมจะตีกลองศึก เพื่อตอบโต้กับความอยุติธรรม ที่ลานย่าโมแห่งนี้ อาสาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันต่อสู้กับความอยุติธรรม หากไม่ได้รับการแก้ไขจะรวมตัวครูภาคอีสานทั้งหมด และต่อไปอาจจะลุกลามไปทั่วประเทศ ลุกฮือขึ้นมาทวงความชอบธรรม พวกเราไม่ได้ทำความผิด พวกเราไม่ได้มีอาวุธ พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักการเมือง แต่การเมืองมาเกี่ยวข้องกับเรา ยกงบประมาณมาให้แล้วโทษเรากล่าวหาว่าเราทุจริต หวังว่าพี่น้องชาวโคราช รวมทั้งจากจังหวัดอื่นๆ ที่มาให้กำลังใจ จะได้รับทราบความจริง และหวังว่าเราจะมีโอกาสพบกับแสงสว่างในเร็ววันนี้ ถึงเวลาที่เราจะต้องไม่กลัวและตอบโต้ เพื่อชี้แจงให้สังคมได้รับทราบ” ดร.ปิยะพัชร์ กล่าว
ด้านนายพิสิษฐ์ ชดกิ่ง ผอ.สพป.นม.๑ กล่าวว่า “รับราชการยาวนานมา ๔๒ ปี เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเขตมา ๑๐ ปี ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะด้วยความทุ่มเทมาตลอด ยึดหลักความสุจริตความเที่ยงธรรมเป็นที่ตั้ง เป็นที่รู้จักเป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ตนมีโอกาสได้เรียนท่านวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งท่านได้ทราบเรื่องราวความเดือดร้อนของพี่น้องครูในจังหวัดนครราชสีมา และให้ความสนใจ เข้าใจ และให้กำลังใจ พร้อมรับฟังช่วยเหลือหากอยู่ในวิสัยที่ท่านช่วยเหลือได้ ซึ่งในวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ เราจะยื่นหนังสือซึ่งมีรายละเอียดเรื่องราวข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อขอความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม อยากให้พี่น้องเพื่อนครูได้โปรดภาคภูมิใจในเกียรติยศศักดิ์ศรีของความเป็นครู เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าครูและบุคลากรทางการศึกษา ไม่ได้เป็นคนชั่วคนเลวตามที่ถูกกล่าวหา”
ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม
ต่อมาวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ดร.ปิยะพัชร์ เดชจรรยา นายปฐมฤกษ์ มณีเนตร พร้อมพวก เดินทางยื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงโครงการปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอลโรงเรียน) กับนายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.นครราชสีมา แต่ติดภารกิจจึงให้นางปิยะฉัตร อินสว่าง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นตัวแทนรับหนังสือ ซึ่งกล่าวให้กำลังใจคณะครู หลังจากรับทราบและติดตามมาโดยตลอด เห็นถึงความพยายามทุกช่องทางที่จะได้รับความเป็นธรรม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน พร้อมจะนำหนังสือเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ต่อไป โดยมีนายธีรพงษ์ ยอดกุล ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการ ป.ป.ช. จังหวัดนครราชสีมา เดินทางมารับหนังสือ พร้อมรับปากนำหนังสือส่งต่อถึงผู้บังคับบัญชาต่อไป
ต่อมาเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ น. คณะครูเดินทางไปยื่นหนังสือที่กองทัพภาคที่ ๒ โดยมีพลตรีราชัน ประจันตะเสน เลขาธิการ กอ.รมน.๒ รบหนังสือและกล่าวกับคณะครูว่า เท่าที่รับฟังจากหลายปีที่ผ่านมาได้ยินถึงปัญหา แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะลุกลามขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม กอ.รมน. เป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ทุกการร้องเรียนทั้งหมด วันนี้รับเรื่องไว้เพื่อไปศึกษาเพิ่มเติม และทำการแก้ไขในอนาคต จากนั้นเวลา ๑๑.๐๐ น. ไปยื่นหนังสือที่สำนักเขตการศึกษาที่ ๑๓ จังหวัดนครราชสีมา
เปิดคำแถลงการณ์ครู
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของคณะครูที่มีถึงนายกรัฐมนตรี มี ๖ ข้อ ดังนี้ ๑.บุคลากรทางการศึกษา คุณครูในจังหวัดนครราชสีมา ได้ถูกชี้มูลความผิดจาก ป.ป.ช. ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ จํานวน ๗ คน และกําลังจะมีคําสั่งไล่ออกอีกจํานวน ๕๕ ราย ในกรณีสนามฟุตซอลที่เป็นข่าว ปรากฏตามสื่อต่างๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี ๒.บุคลากรทางการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านพิจารณา ตรวจสอบพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ชี้มูลความผิดต่อบุคลากรทางการศึกษานั้นได้กระทําอย่างไม่มีพยานหลักฐานใด มีอคติ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๕ เป็นการกระทําแบบ ‘เหมาเข่ง’ เหมือนทําตามความต้องการของใคร คนใดคนหนึ่ง โดยไม่เกรงกลัวกฎระเบียบข้อบังคับใดๆ ของสังคม อันเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนอย่างสุดแสนที่จะทนได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสําคัญมากของสังคมไทย ๓.บุคลากรทางการศึกษาที่เดือดร้อนมิได้ร้องขอสิ่งที่เกินไปกว่า สิทธิอันพึงมีของพวกเขาคือ “ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ได้รับความคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ตอกย้ำถึงจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ว่า “มนุษย์ยอมทนได้ทุกเรื่อง ยกเว้นความอยุติธรรมจะทนไม่ได้”
๔.ทางชมรมฯ เกรงว่าเรื่องนี้จะลุกลามใหญ่โต จะเกิดความวุ่นวายในสังคมไทย จึงขอเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนผู้เสียภาษีในสังคม ได้โปรดพิจารณาแก้ไขปัญหา โดยการแต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางขึ้นมา ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น นักการเมือง, ผู้รับเหมา, คุณครู และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยเร็ว เพื่อหาตัวผู้กระทําผิดที่แท้จริง มาลงโทษให้จงได้ ๕.พวกข้าพเจ้า จะขอต่อสู้เคลื่อนไหวในทุกช่องทางที่สามารถทําได้ ภายใต้กฎระเบียบ ข้อบังคับของสังคมไทย ขอ กราบเรียนด้วยความเคารพว่า นี่เป็นคําสั่งที่อัปยศที่มีต่อบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต
และ ๖.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๑๕ บัญญัติว่า องค์กรอิสระเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้น ให้มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อํานาจขององค์กรอิสระต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคติทั้งปวง ในการใช้ดุลพินิจ ในประวัติศาสตร์แห่งการรวมพลังต่อสู้อย่างทระนง องอาจ ในอดีตที่ผ่านมาบุคลากรทางการศึกษาของไทยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาแล้วอย่างมากมาย
พวกข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหากปัญหาดังกล่าวนี้ ไม่ถูกแก้ไขอย่างทันการณ์ คนไทยอาจได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนั้นอีก
นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๖ ฉบับที่ ๒๖๔๑ วันพุธที่ ๑๙ - วันอังคารที่ ๒๕ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓
86 1,623