19thMarch

19thMarch

19thMarch

 

May 06,2021

สุดช้ำค้ำรถยนต์ให้เพื่อนสนิท สุดท้ายถูกฟ้องยึดบ้าน-ที่ดิน

สาววัย ๓๖ ปี สุดช้ำค้ำรถยนต์ ๑.๘ ล้านให้เพื่อนสนิท สุดท้ายถูกฟ้องยึดที่ดินและบ้าน เพราะยังค้างเงินส่วนต่างอยู่กว่า ๕ หมื่น ติดต่อเพื่อนไม่ได้ ไร้ทางออก มีรายได้จากการขายของชำวันละ ๑๐๐-๒๐๐ แค่กินอยู่ยังไม่พอ ต้องเลี้ยงลูก ๓ คน แม่ป่วยเนื้องอก พ่อพิการสมอง หากถูกยึดบ้าน ไม่รู้  จะไปอยู่ที่ไหน 

เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔ นางพรพรรณ สัตย์รัมย์ อายุ ๓๖ ปี ชาวบ้านนาใหม่ ต.หัวถนน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีอาชีพขายของชำที่บ้าน ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากไปค้ำประกันรถยนต์เอนกประสงค์มูลค่ากว่า ๑.๘ ล้านบาทให้กับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง แล้วถูกบริษัทฟ้องร้อง ล่าสุดได้รับหมายจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง จะยึดที่ดินและบ้านที่อยู่อาศัยกับครอบครัวในปัจจุบัน เพราะเพื่อนคนที่ซื้อรถคันดังกล่าวยังค้างเงินส่วนต่างกับทางบริษัทอยู่กว่า ๕ หมื่นบาท แล้วก็ไม่รับผิดชอบหนีหายไปเลย ทำให้ตนเองตกเป็นจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกัน และถูกฟ้องยึดทรัพย์แทน 

นางพรพรรณ เล่าว่า เมื่อก่อนตนทำงานเป็นพนักงานต้อนรับอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ จ.ชลบุรี จึงรู้จักสนิทสนมกับ น.ส.สุกัญญา อายุ ๓๖ ปี ซึ่งทำงานที่ชลบุรีเหมือนกัน รู้จักกันประมาณ ๑๐ ปี มีอะไรก็จะพึ่งพาอาศัยกันตลอด แต่เมื่อประมาณ ๕ ปีก่อนตนกลับมาทำงานที่ อ.นางรอง น.ส.สุกัญญา  เพื่อนก็โทรศัพท์มาขอให้ตนไปช่วยค้ำประกันรถให้หน่อย ซึ่งด้วยความที่คิดว่าเป็นเพื่อนสนิทไว้ใจกันและตอนนั้นก็ดูเพื่อนมีการงานทำที่มั่นคงค่อนข้างฐานะดี และเพื่อนก็ยังรับปากว่าจะไม่ทำให้เดือดร้อนแน่นอน จึงได้ตอบตกลง จากนั้นเพื่อนก็ขับรถมารับตนเองที่ อ.นางรอง เพื่อไปค้ำประกันซื้อรถยนต์อเนกประสงค์มูลค่ากว่า ๑ ล้าน ๘ แสนบาท ที่ จ.ชลบุรี เมื่อเสร็จเรียบร้อย เพื่อนก็กลับมาส่งที่ อ.นางรอง แต่จู่ๆ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ก็มีหมายศาลจังหวัดสีคิ้ว ส่งมาที่บ้านว่า ตนตกเป็นจำเลยที่ ๒ กรณีที่ค้ำประกันซื้อรถให้กับเพื่อนและถูกบริษัทฟ้องร้อง เมื่อติดต่อสอบถามไปยังเพื่อนก็บอกว่าได้คืนรถให้กับบริษัทไปแล้ว แต่ถูกทางบริษัทเรียกเงินส่วนต่างเพิ่มอีกประมาณ ๕ หมื่นบาท แต่เพื่อนก็รับปากว่าไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวจะหาเงินไปจ่ายเอง ด้วยความเชื่อใจเพื่อนอีกครั้ง จึงไม่ได้ไปติดต่อสอบถามหรือเดินเรื่องนี้ด้วยตัวเอง     

กระทั่งเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ ได้รับหมายจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง โดยในหมายระบุว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างหรือบ้านที่ตนอาศัยอยู่กับครอบครัวในปัจจุบัน หากไม่ไปติดต่อภายใน ๑๕ วัน หรือชำระหนี้ที่ยังค้างอยู่จะทำการยึดขายทอดตลาด ก็ตกใจมาก เพราะบ้านหลังดังกล่าว สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากที่ไปทำงาน แล้วส่งเงินมาให้พ่อแม่ แถมยังมีภาระต้องเลี้ยงลูกอีก ๓ คน ส่วนแม่ก็ป่วยเป็นเนื้องอกที่ปาก เพิ่งจะผ่าตัดและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ส่วนพ่อก็พิการทางสมอง มีอาการหลงๆ ลืมๆ โดยในทุกวันนี้ ตนมีรายได้แค่เพียงจากการขายของชำวันละ ๑๐๐–๒๐๐ บาทเท่านั้น เพราะไม่สามารถไปทำงานต่างจังหวัดหรือหารายได้เสริมจากการทำบายศรีได้เหมือนเดิม 

“ที่ผ่านมา ตนพยายามติดต่อเพื่อนที่ไปค้ำประกันรถให้ ก็ติดต่อไม่ได้ ปิดมือถือ บล็อกเฟซบุ๊กหนี ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้ติดต่อไปทางบริษัทเพื่อขอผ่อนชำระเงินที่เพื่อนค้างกว่า ๕ หมื่น เพราะไม่อยากถูกยึดที่ดินและบ้าน ซึ่งทางบริษัทก็ให้โอกาสผ่อนชำระไม่เกินเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ หากหาเงินมาชำระให้ไม่ครบตามกำหนด ก็จะถูกยึดบ้านขายทอดตลาด ไม่รู้จะพาลูกทั้ง ๓ คน แม่ที่กำลังป่วย และพ่อพิการไปอยู่ที่ไหน อยากฝากถึง น.ส.สุกัญญา เพื่อนที่ไปค้ำรถให้ หากยังมีสำนึกและสงสาร ให้มารับผิดชอบชำระเงินที่ค้างอยู่ด้วย เพราะทุกข์ใจมาก หากเพื่อนไม่ติดต่อมาไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปจ่าย ทั้งที่ไม่ใช่ภาระของตนเองด้วยซ้ำ แต่หากผู้รู้กฎหมายหรือใครที่สงสารจะแนะนำหาทางออกให้ ก็ขอบคุณมาก เพราะตอนนี้ไร้หนทางจริงๆ ยิ่งช่วงโควิดแบบนี้หากินก็ลำบากอยู่แล้ว” นางพรพรรณ กล่าว

 

 นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๖ ฉบับที่ ๒๖๗๗ วันพุธที่ ๕ - วันอังคารที่ ๑๑ เดือนพฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๖๔


977 1553