March 23,2023
‘ชาติพัฒน์’ชู‘โคราชโนมิกส์’ นำ‘โคราช-อีสาน’สู่ยุคทอง ‘สุวัจน์’มั่นใจต้องคว้าแชมป์
‘สุวัจน์’ ขึ้นเวทีจะนำเศรษฐกิจยุคทองกลับมาสู่โคราช ผ่านนโยบาย ‘โคราชโนมิกส์’ ๕ ด้าน ระเบียงเศรษฐกิจใหม่ คมนาคมทันสมัย น้ำไม่ท่วมไม่แล้งน้ำประปาเพียงพอ เมืองท่องเที่ยวยูเนสโก ผลิตอาหารป้อนโลก มั่นใจได้ชัยชนะและคัมแบ็กแน่ เปรียบ ‘โคราช’ ไม่ใช่แค่หัวใจแต่เป็นชีวิต ด้าน ‘ส.ส.โต’ ยืนยันรักเดียวใจเดียวไม่ย้ายไปไหน
เมื่อเวลา ๐๙.๐๐ น. วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๖ ที่โรงแรมสีมาธานี จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) พร้อมนายเทวัญ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะเลขาธิการพรรคฯ นายวัชรพล โตมรศักดิ์ รองหัวหน้าพรรคฯ นำเสนอนโยบาย “Koratnomics” (โคราชโนมิกส์) การพัฒนาอีสานและโคราช โดยมีคณะผู้บริหารพรรค นำโดย นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมทั้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อและเขต สมาชิกพรรค ผู้มีเกียรติจากองค์กรต่างๆ ประชาชนเข้าร่วมรับฟังกว่าพันคน
โคราช’เป็นเหมือนชีวิต
ทั้งนี้ นายสุวัจน์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนขึ้นเวทีว่า จังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของภาคอีสาน พรรคฯ เติบโตมาจากภาคอีสาน จึงนำเสนอนโยบายเฉพาะภาคอีสานและ จ.นครราชสีมา บ่งชี้เป็นพรรคของคนโคราชและคนอีสาน เข้าใจปัญหาพร้อมนำเสนอแนวทางที่จัดทำโดยนักการเมืองมีประสบการณ์ทั้งอดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ นักวิชาการหลายท่าน กระทั่งออกเป็นนโยบาย “โคราชโนมิกซ์” ที่เกี่ยวข้องกับการทำให้อีสานกลับมารุ่งเรือง นำเศรษฐกิจยุคทองกลับมาสู่อีสานและโคราช สมัยพลเอกชาติชายเป็นนายกรัฐมนตรีเคยเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เปิดประตูอีสานสู่อินโดจีน ซึ่งนโยบายโคราชโนมิกส์ คือการเปิดประตูอีสานสู่อินโดจีนภาค ๒ ที่ยิ่งใหญ่ เข้มแข็งกว่าเดิม ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม
“จังหวัดนครราชสีมา มีความสำคัญมากกว่าคำว่า “หัวใจ” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเหมือน “ชีวิต” ผมมีความมั่นใจอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งนี้ พื้นที่ ๑๖ เขต จ.นครราชสีมา จะประสบความสำเร็จ แต่จะได้ ส.ส.กี่คน ยังไม่ทราบ เรามั่นใจต้องคัมแบ็ก คว้าแชมป์เข้าไปทำงานเพื่อคนโคราช” นายสุวัจน์ กล่าวย้ำ
นำยุคทองสมัย‘น้าชาติ’กลับมา
จากนั้น นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ขึ้นเวทีปราศรัยนำเสนอนโยบายโคราชโนมิกส์เป็นเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้านำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจไปแล้ว สำหรับวันนี้เป็นการอภิปรายนโยบายในส่วนของภาคอีสานและโคราช ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าพื้นเพดั้งเดิมล้วนเป็นคนโคราชและคนอีสาน ภาคอีสานถือเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงจะนำเสนอนโยบายที่คิดขึ้นจากประสบการณ์จากคนในพรรค จากนักวิชาการ ที่จะเป็นนโยบายในการพลิกฟื้นอีสาน นำเศรษฐกิจยุคทองกลับมาสู่โคราชและภาคอีสานอีกครั้ง ส่วนคำว่า เศรษฐกิจยุคทอง ก็คือเศรษฐกิจในยุคพลเอกชาติชาย
นโยบาย ‘โคราชโนมิกส์’ มาจาก โคราช กับ อีโคโนมิกส์ ในภาษาอังกฤษที่แปลว่าเศรษฐกิจ กลายเป็นโคราชโนมิกส์ โดยนโยบายในการเอาเศรษฐกิจยุคทองกลับมา คือการนำนโยบายที่เคยประสบความสำเร็จจากวิสัยทัศน์ของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มี ๓ ข้อ คือ การแปรสนามรบเป็นสนามการค้า, ทำให้ภาคอีสานเป็นประตูสู่อินโดจีน และทำให้โคราชเป็นประตูสู่อีสาน ซึ่ง“โคราชโนมิกส์” มี ๕ นโยบายสำคัญ ได้แก่ ๑.โคราช-อีสานคือระเบียงเศรษฐกิจใหม่ของไทย ๒.โคราชเป็นเมืองคมนาคมที่ทันสมัย ๓.โคราชเป็นเมืองท่องเที่ยวของโลก เป็นเมืองท่องเที่ยวอินเตอร์ ๔.โคราชเป็นเมืองผลิตอาหารป้อนโลก และ ๕.โคราชน้ำต้องไม่ท่วม น้ำต้องไม่แล้ง น้ำประปาในเขตเทศบาลต้องเพียงพอ
ระเบียงเศรษฐกิจใหม่ของไทย
นโยบายแรก ‘โคราช-อีสานต้องเป็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย’ จาก ๓๕ ปีที่แล้ว อีสานเป็นประตูสู่อินโดจีน วันนี้อะไรเปลี่ยนไปบ้าง ต้องมีการต่อยอดในเชิงบวก หากสามารถเชื่อมต่อกับจีนได้ จะทำให้เศรษฐกิจเราเติบโตหลายเท่าตัว ต้องมองไปที่จีน นี่คือความเปลี่ยนแปลงของอีสานที่เป็นปัจจัยด้านบวก สภาพแวดล้อมของอีสานเปลี่ยนไป เรียกว่าภูมิรัฐศาสตร์ หมายความว่ากลุ่มประเทศกลุ่มข้อตกลงทางการค้าต่างๆ ส่วนมากจะอยู่ติดกับพื้นที่ภาคอีสาน เช่น เส้นทางสายไหมเชื่อมต่อจีน ผ่านรัสเซีย ไปยุโรป ไปแอฟริกา ๗๐ กว่าประเทศที่จะถูกเชื่อมโยงเข้าหาจีนผ่านทางรถไฟ แค่ไทยเชื่อมโยงกับจีนได้ ไทยก็เชื่อมโยงกับนานาชาติได้ โดยเฉพาะอีสานผ่านหนองคายข้ามไปเวียงจันทน์ แล้วเชื่อมทางรถไฟจากเวียงจันทน์ไปถึงจีน ก็สามารถที่เปิดประตูอีสานสู่นานาชาติ แล้วยังเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศอนุภาคลุ่มน้ำโขงอีกด้วย ตั้งแต่พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และยูนานตอนใต้ของจีน
วันนี้อีสานพร้อมมากกว่าเดิม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุดิบทางการเกษตร เป็นเมืองข้าว เมืองมันสำปะหลัง เมืองผลิตยางพารา เมืองผลิตอ้อย เมืองที่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรม โบราณสถาน ทุกจังหวัดในภาคอีสานเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว นอกจากนั้นภาคอีสานยังมีการคมนาคมที่เชื่อมโยงไปถึงทุกจังหวัด และที่สำคัญที่สุดมีวัตถุดิบคือแร่โปแตช ใช้ทำปุ๋ยเคมี ไทยเป็นประเทศที่มีโปแตชเป็นอันดับ ๔ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคอีสาน เริ่มมีการทำเหมืองโปแตชที่ชัยภูมิ อุดรธานี ซึ่งรวมๆ แล้วน่าจะมีถึง ๔,๐๐๐ ล้านล้านตัน ฉะนั้นนี่คือวัตถุดิบที่นักลงทุนต้องการ นอกจากนี้ที่ค่าไฟฟ้ายังไม่ขึ้นสูงไปกว่านี้ เพราะเรามีการผลิตไฟฟ้าที่แม่น้ำโขง มีการสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า แล้วส่งกลับมาขายที่ประเทศไทย ไฟฟ้าที่ผลิตจากน้ำยูนิตแค่ ๒ บาท แต่ไฟฟ้าที่ผลิตจากแก๊ส ๕ บาทถึง ๖ บาท ฉะนั้นเมื่อเรามีวัตถุดิบ มีแหล่งผลิตไฟฟ้า มีแก๊ส มีพื้นฐานมหาวิทยาลัยดีๆ มากมาย ที่จะผลิตบุคลากรเก่งๆ ที่จำเป็นสำหรับนักลงทุน อีกทั้งอีสานมีสนามบินเกือบทุกจังหวัด สนามบินก็จะเชื่อมโยงนักลงทุนมาลงทุน ดึงคนมาเที่ยวภาคอีสาน และพัฒนาให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจ สรุปได้ว่านอกจากปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในทางบวกแล้ว ภาคอีสานก็มีความพร้อมมากขึ้น เราพร้อมแล้วที่จะเป็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย
เร่งรัดระบบคมนาคม
สำหรับการคมนาคมที่ทันสมัยต้องทำเป็น ๓ ส่วน หนึ่งจากกรุงเทพฯ เข้าโคราช สองภายในโคราชของเรา และสามเชื่อมโยงระบบคมนาคมของโคราชเข้าหาโลก โดยส่วนที่ ๑ จากกรุงเทพฯ เข้าสู่โคราช ที่สำคัญคือถ้าเปิดใช้มอเตอร์เวย์จะรองรับรถได้ ๗๐,๐๐๐-๘๐,๐๐๐ คันต่อวัน รถบนถนนมิตรภาพจะไม่ติด จึงต้องเร่งรัดการสร้างมอเตอร์เวย์ให้เร็วขึ้น อย่างที่ ๒ รถไฟทางคู่ ยกระดับคลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ ต้องแก้ไขแบบตามที่พี่น้องประชาชนต้องการ และต้องติดตามแก้ไขเพื่อให้ได้ข้อสรุป เพื่อให้รถไฟทางคู่มาถึงโคราชให้สำเร็จโดยเร็ว อย่างที่ ๓ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ก็ต้องเร่งรัดเพื่อให้การเชื่อมโยงจากเมืองหลวงมาโคราชสะดวกสบายขึ้น แล้วจากนี้ใครๆ ก็อยากมาโคราช อยากมาอีสาน
ส่วนที่ ๒ ในตัวเมืองโคราช ลดปัญหารถติด โดยเร่งรัดก่อสร้างถนนวงแหวนรอบเมืองโคราช เพื่อกระจายรถไปสู่อำเภอรอบนอก สร้างสะพานต่างระดับ สร้างทางลอดอุโมงค์ในเมือง ควรจะขยายถนน ๔ เลน ๖ เลนเพิ่ม และผลักดันให้เกิดระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัย จะทำเป็นรถไฟฟ้าบนสะพานหรือบนถนนก็ได้ ปัจจุบันมีการศึกษาไว้ ๓ เส้น คือสีเขียว สายสีส้ม และสายสีม่วง ต้องผลักดันให้เกิดขึ้นจริง และส่วนที่ ๓ เชื่อมตัวเมืองโคราชไปสู่อินโดจีนและลาว โดยต่อรถไฟความเร็วสูง ต่อมอเตอร์เวย์ ต่อรถไฟทางคู่ ให้ไปถึงหนองคาย เพื่อเชื่อมโยงกับนานาชาติ รองรับระเบียงเศรษฐกิจใหม่ สร้างให้โคราชทันสมัย
โคราชเมืองท่องเที่ยว
สำหรับนโยบายสร้างโคราชเป็นเมืองท่องเที่ยว ข้อควรคิดคือจะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวอีสานมากขึ้น โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เร่งมอเตอร์เวย์ เร่งรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง เดินทางง่ายและสะดวก ต้องสร้างแบรนด์ให้โคราช สินค้าคนโคราช สินค้าโอทอป ของดีโคราชชูขึ้นมา ชูคำว่าเมดอินโคราช เพื่อใช้เป็นจุดขาย และประเพณีของจังหวัดต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ ประเพณีแห่เทียนของเทศบาล งานฉลองชัยชนะท้าวสุรนารี ลอยกระทง สงกรานต์ กินเจ แข่งเรือ จัดให้ยิ่งใหญ่ เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าโคราชมีความหลากหลาย แล้วคนจะแห่เข้ามา ส่วนกีฬาวอลเลย์บอล ฟุตบอล จัดให้ยิ่งใหญ่ ทีมมีคุณภาพ เป็นเจ้าภาพจัดงานซีเกมส์ จัดวิ่งมาราธอนให้เป็นกีฬาระดับโลก สร้างงานสตรีทฟู้ด ยกระดับร้านค้าร้านอาหารในโคราชให้ได้รับมิชลินสตาร์ ชาวต่างชาติจะเกิดความมั่นใจ มีความน่าเชื่อถือ น่ามาลิ้มลอง สร้างจุดขายของสินค้า GI ซึ่งโคราชมีสินค้า GI ๑๑ แห่ง มากที่สุดในประเทศไทย เช่น หม่อนไหม กาแฟดงมะไฟ กาแฟวังน้ำเขียว ไวน์เขาใหญ่ เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน เป็นต้น นี่แหละคือจุดขาย นอกจากนี้โคราชมีซอฟต์พาวเวอร์ มีจุดขายที่ไม่เหมือนใครทั้งเพลงโคราช มวยโคราช อาหารโคราช จุดนี้จะเป็นพลังให้การท่องเที่ยว และอีกสองเรื่องที่สำคัญคือต้องสร้างโคราชให้เป็นเมืองสุขภาพของโลก อย่างวังน้ำเขียว อากาศบริสุทธิ์ดีที่สุดในประเทศ และทุกคนอยากมาอยู่โคราช
‘โคราช’เมืองท่องเที่ยวยูเนสโก
รวมทั้งสร้างโคราชให้เป็นเมืองท่องเที่ยวของยูเนสโก นำโคราชสู่เมืองท่องเที่ยวระดับโลก เพราะมีเขาใหญ่ สะแกราช เป็นยูเนสโกแล้ว และกำลังจะขึ้นทะเบียนอีกหนึ่งแห่งคือโคราชจีโอพาร์คในเร็วๆ นี้ โคราชจะเป็นดินแดนแห่ง ๓ มงกุฏยูเนสโก เป็น ๑ ใน ๓ จังหวัดของโลกที่มีมรดกโลกถึง ๓ แห่ง นี่คือความยิ่งใหญ่ทางด้านวัฒนธรรม ด้านศิลปะ ด้านวิทยาศาสตร์ ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้บ้านเมืองของเรา จึงต้องมาต่อยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก โดยการพัฒนาให้เกิดถนนยูเนสโก เป็นถนนที่เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของโลกเกิดขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา โคราชต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวอินเตอร์ แล้วถ้านโยบายข้อที่ ๑ คือโคราชต้องเป็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่ แล้วนักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่อินโดจีน แต่มาจากจีนถึง ๑,๔๐๐ ล้านคน มาจากเอเชียแปซิฟิกอีก ๑,๔๐๐ ล้านคน มาจากกลุ่มภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่จะเชื่อมโยงเข้าหาเรา ถึงวันนั้นแน่นอนว่านักท่องเที่ยวจะมาอย่างมหาศาลพร้อมกับเม็ดเงินที่มหาศาลด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า นโยบายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมั่นคงจะเป็นนโยบายที่เข้มแข็ง
ไม่ท่วม ไม่แล้ง
สำหรับนโยบาย ‘โคราชน้ำไม่ท่วมน้ำไม่แล้ง และโคราชน้ำประปาเพียงพอ’ นายสุวัจน์นำเสนอว่า ปัญหาน้ำท่วมเกิดจากลำน้ำเดิมตื้นเขิน มีการบุกรุก การใช้ประโยชน์ที่ดินเปลี่ยนไป ทำให้ความสามารถในการรับน้ำลดลง ปัญหาโลกร้อนทำให้เกิดฝนตกบ่อยและตกเป็นช่วงสั้นๆ ตกหนักๆ เมื่อไปเจอกับลำน้ำที่ตื้นเขินแล้วเจอการขยายตัวด้านความเจริญของบ้านเมืองจึงท่วม ซึ่งมีการศึกษาวางแผนพูดคุยกัน จึงได้ข้อสรุปในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ๖ เรื่องที่จะทำพร้อมๆ กัน โดยทั้งน้ำไม่ท่วมและน้ำไม่แล้ง คือต้องผันน้ำ มีการบายพาสน้ำออกจากลำตะคองที่ละลมหม้อคือทำคลองส่งน้ำออกไปที่บึงพุดซา ดังนั้นเราไปขยายคลองส่งน้ำเพื่อเบี่ยงน้ำจากที่จะวิ่งเข้าลำตะคองไปที่โคกแฝกไปที่บึงพุดซา แล้วพอไปถึงบึงพุดซามีคลองชื่อคลองปลาร้ากับคลองคลังเป็นคลองธรรมชาติที่ระบายน้ำไปลงที่ลำเชียงไกร มาจากทางโนนสูงแล้วก็ไหลลงแม่น้ำมูล ฉะนั้นถ้าเราสร้างโครงการผันน้ำ จะสามารถผันน้ำได้ถึงครึ่งหนึ่ง นี่คือการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตเทศบาล ส่วนลำตะคองปัจจุบันยาวประมาณ ๑๓ กิโลเมตร ต้องมีการขุดลอกและสร้างตลิ่ง ทำเขื่อนริมตลิ่งให้สูงขึ้นเพื่อรับน้ำได้มากขึ้น แล้วก็ทำให้น้ำไหลลงไปแม่น้ำมูล ไปทางจักราชได้เร็วขึ้น
โครงการที่ ๓ สร้างแก้มลิง ปัจจุบันลำน้ำมูลมีการขุดบ่อทรายจำนวนมากแถวพิมาย ลำทะเมนชัย ถ้าเอาบ่อทรายเดิมทำแก้มลิง เวลาที่น้ำขึ้นสูง น้ำจะไหลตามธรรมชาติเข้าที่แก้มลิง ข้างๆ แก้มลิงจะสามารถสร้างได้ประมาณ ๑๗ แอ่ง ลึก ๖ เมตร ซึ่ง ๑๗ แอ่งของแก้มลิง จะสามารถจุน้ำได้ประมาณ ๓๐๐ กว่าล้านคิว ฉะนั้นแทนที่น้ำจะท่วม น้ำจะถูกย้ายไปเก็บไว้บริเวณแก้มลิง โครงการที่ ๔ สร้างระบบระบายน้ำตามถนนซอยต่างๆ บริเวณลำตะคอง แถวมิตรภาพ มหาชัย ถนนทั้งโคราช ๒๐ กว่าสายต้องวางระบบระบายน้ำใหม่ ถ้าทำได้ ๔ โครงการนี้น้ำจะไม่ท่วม ในเมืองโคราชแน่นอน โครงการที่ ๕ ขุดลอก และสร้างฝายและระบบระบายน้ำในลำน้ำสาขาให้ทั่ว จะทำให้ลำน้ำสาขารับน้ำได้มากขึ้น ระบายลงแม่น้ำมูลได้เร็วขึ้น น้ำจะไม่ท่วม และในลำน้ำสาขาเมื่อสร้างฝายเก็บน้ำแล้วน้ำที่ฝายก็จะสามารถส่งไปให้เกษตรกรหรือในชุมชนใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง และโครงการที่ ๖ ประชาชนจะได้รับน้ำจากแก้มลิงที่คำนวณไว้ประมาณ ๑๗ แอ่ง ๓๐๐ กว่าล้านคิว ส่งไปยังพื้นที่ต่างๆ ในส่วนนี้ก็จะทำให้ไม่เกิดปัญหาน้ำแล้ง
สำหรับงบประมาณในการทำทั้ง ๖ โครงการนี้ประเมินคร่าวๆ ต้องใช้เงินถึง ๑๐,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ ล้าน เป็นโครงการใหญ่ที่พวกเราจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ขอให้พี่น้องประชาชนสบายใจว่า น้ำจะไม่ท่วมอีกต่อไป และน้ำก็จะไม่แล้งอีกต่อไป
น้ำประปาเพียงพอ
“สุดท้ายเรื่องน้ำประปาเมืองโคราช น้ำไม่ได้ถูกใช้ในเฉพาะเขตเทศบาล แต่ส่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีก ๗ แห่ง ไปถึงค่ายสุรนารี ค่ายสุรธรรม รวมแล้วน้ำในเขตเทศบาลที่เกิดจากโรงกรองน้ำประปาที่เรามีอยู่ต้องส่งไปถึง ๗๐ กว่าตารางกิโลเมตร หนึ่งเท่าตัวของความใหญ่ของเขตเทศบาลประมาณ ๔๖๐,๐๐๐ คน ฉะนั้นนี่คือเหตุผลทำให้น้ำประปาไม่เพียงพอ เพราะเทศบาลไม่ได้ดูแลเฉพาะประชาชนในเขตเทศบาล สำหรับขีดความสามารถของโรงกรองน้ำในเขตเทศบาลนั้นถ้าจะให้เพียงพอกับที่จ่ายน้ำอยู่ในปัจจุบันจะต้องมีน้ำประปา ๑๕๐,๐๐๐ คิวต่อวัน สำหรับโรงกรองน้ำเทศบาลมีอยู่ ๒ แห่ง คือโรงกรองน้ำมะขามเฒ่า ผลิตน้ำประปาได้ประมาณวันละ ๕๒,๐๐๐ คิว ปัญหาคือท่อน้ำดิบที่ทำไว้เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วเริ่มหมดสภาพ น้ำดิบรั่วออก ๒๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ จึงทำให้น้ำดิบหายไปนี่ก็คือปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ขีดความสามารถในการผลิตน้ำประปาลดลง น้ำประปาที่ออกจากโรงกรองน้ำมะขามเฒ่าเกิดความเสื่อมสภาพไปเช่นกัน ส่วนโรงกรองน้ำที่อัษฎางค์ผลิตน้ำได้ ๖๕,๐๐๐ คิวต่อวัน ซึ่ง ๕,๐๐๐ คิวแรกมาจากโรงกรองน้ำอัษฎางค์เดิม อีก ๖๐,๐๐๐ คิวมาจากสถานีจ่ายน้ำอัษฎางค์ ฉะนั้นเมื่อมาคำนวณดูแล้ว ยังขาดน้ำประปาอีก ๓๐,๐๐๐ กว่าคิว กลายเป็นปัญหาการขาดแคลนน้ำ ซึ่งยังไม่รวมถึงการจ่ายน้ำ ไปแล้วเกิดรั่วระหว่างทาง จึงคิดโครงการเพื่อแก้ไขคือ ปรับปรุงโรงกรองน้ำมะขามเฒ่าเพิ่มกำลังการผลิตอีกชั่วโมงละ ๒,๐๐๐ คิว วันละ ๔๘,๐๐๐ คิว และปรับปรุงวิธีการเอาน้ำดิบมาจากลำตะคอง ที่บอกว่าเดินตามท่อมาอยู่ใต้ถนนมิตรภาพนั้น วันนี้จะเปลี่ยนมาตามคลองชลประทาน และจะสร้างสถานีตรงบริเวณประตูระบายน้ำมะเกลือใหม่ ฉะนั้นต่อไปน้ำดิบมาที่มะขามเฒ่าน้ำจะมากขึ้น แล้วไปปรับปรุงการผลิตที่โรงกรองน้ำอัษฎางค์อีกชั่วโมงละ ๒,๐๐๐ คิว จะทำให้ที่อัษฎางค์ผลิตน้ำได้อีกวันละ ๔๘,๐๐๐ คิว แล้วจะมีการแก้ไขท่อน้ำประปาที่อยู่ในเมือง ซึ่งต้องนำเสนอเรื่องไปที่รัฐบาล โดยตั้งงบประมาณอยู่ที่ ๒ พันล้าน เมื่อเราเห็นปัญหา ต้องร่วมกันทำให้เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำประปาของโคราช
โคราชผลิตอาหารป้อนโลก
“สำหรับโคราชเมืองผลิตอาหารป้อนโลก ตั้งแต่โควิด-๑๙ และเกิดสงคราม ทั่วโลกเริ่มขาดแคลนอาหาร ประชากรโลกมากขึ้น โลกร้อน แผ่นดินเกษตรน้อยลง ฉะนั้นประชากรโลก ๘,๐๐๐ ล้านคนประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้ เพราะอาหารราคาแพง ขาดแคลน นี่คือโอกาสของประเทศไทย เพราะไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก ไทยเป็นที่ผลิตข้าว นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่ต้องสร้างให้เป็นเมืองอาหารป้อนโลก และโคราชต้องใช้จังหวะนี้ เป็นจังหวัดที่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของประเทศในการผลิตอาหารป้อนโลก เพราะในโคราชมีพื้นที่การเกษตร ๒๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร เท่ากับ ๑๒ ล้านไร่ เป็นพื้นที่การเกษตร ๘ ล้านไร่ ตอนนี้ปลูกข้าว ๓.๕ ล้านไร่ ปลูกมัน ๑.๕ ล้านไร่ ฉะนั้นโคราชเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ในการผลิตข้าว มัน ข้าวโพด ทุเรียน พุทรานมสด น้อยหน่ากำลังมาแรง ฉะนั้นจะเห็นว่าพื้นที่เรามีทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำของอาหาร เช่น ข้าวไปทำขนม ไปทำอาหารต่อเนื่อง มันสำปะหลังเอาไปเลี้ยงสัตว์ ไปทำขนม ไปทำผงชูรสได้ ทำสารเพิ่มความหวาน เรามีต้นทุน มีวัตถุดิบ จึงเป็นโอกาสที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้โคราชเป็นเมืองที่ผลิตอาหารป้อนโลก สมัยหมอวรรณรัตน์เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมทำโครงการ food valley ซึ่งโคราชต้องเป็นเมืองผลิตอาหาร ผลิตเนื้อวากิว ผลิตไวน์ เมืองปศุสัตว์ เมืองนิคมอุตสาหกรรมที่ผลิตอาหาร และใช้ระบบการผลิตแบบ BCG ที่ไม่มีพิษต่อสิ่งแวดล้อมพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นปากช่อง เขาใหญ่ เหมาะจะเป็น food valley ซึ่งเราต้องผลักดันให้โคราชเป็น food valley มีนิคมอุตสาหกรรมผลิตอาหารอยู่ในนั้น และเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เปิดโอกาสให้ผู้สนใจมาลงทุน มีสิทธิพิเศษสำหรับนักลงทุน ปลอดภาษี ถ้าทำได้แบบนี้จะสามารถเป็นเมืองผลิตอาหารป้อนโลกได้ แล้วยังมีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่จะผลิตเกษตรกรรุ่นใหม่มาทดแทนเกษตรกรรุ่นเก่า เพื่อจะทำให้โคราชเป็นเมืองผลิตอาหารป้อนโลก” นายสุวัจน์ กล่าว
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เลขาธิการพรรคฯ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต ๑
มอเตอร์เวย์เปิดใช้ปี’๖๘
จากนั้น นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เลขาธิการพรรคฯ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต ๑ ขึ้นเวทีปราศรัยเรื่องการคมนาคมว่า เรื่องมอเตอร์เวย์ ผมพูดในสภาเสมอ สาเหตุที่จะต้องพูดถึงมอเตอร์เวย์เพราะหัวใจจริงๆ ไม่ได้มีแค่มอเตอร์เวย์อย่างเดียว มีทั้งรถไฟความเร็วสูง อีกหน่อยจะเข้ากรุงเทพฯ ไปเช้า บ่ายก็กลับได้ อย่างหนึ่งที่พวกเราสามารถทำได้คืออย่าหยุดหายใจ เพื่อจะได้ใช้รถไฟความเร็วสูง เพราะน่าจะเสร็จประมาณปี ๒๕๗๐ ส่วนมอเตอร์เวย์เสร็จ ไปแล้วประมาณ ๙๐% ใช้เงินไปทั้งสิ้นแล้วประมาณ ๗๗,๖๐๐ ล้านบาท ขาดอีกประมาณ สัก ๕,๐๐๐ ล้าน ครม.เพิ่งอนุมัติไปเมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นที่น่าเสียดายผมพูดในสภามากกว่า ๓ ครั้ง เพราะมีการลงทุนไปมากกว่า ๗๗,๖๐๐ ล้าน ขาดอีก ๕,๐๐๐ ล้าน ทำไมไม่ทำให้เสร็จ จริงๆ ควรจะเสร็จตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ บางคนต้องเดินทางโคราชไปกลับกรุงเทพฯ บางวันใช้เวลาเดินทางถึง ๖ ชั่วโมง ยิ่งช่วงเทศกาลปีใหม่ใช้เวลาถึง ๘ ชั่วโมง ไปญี่ปุ่น ถ้ามอเตอร์เวย์เสร็จจะใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ ๒ ชั่วโมง แต่ไม่เป็นไร ยังดีว่ามีการอนุมัติมาแล้ว คาดว่าน่าจะเปิดได้ปี ๒๕๖๖ แต่จริงๆ แล้วคงจะเป็นไปได้ยาก น่าจะเปิดได้ในต้นปี ๒๕๖๘ เพราะว่ามีหลายจุดที่ยังไม่เสร็จ ด่านก็ยังไม่สร้าง ถ้าใครเคยไปตรงโคกกรวดจะเห็นสะพานหนึ่งแปลกประหลาดที่สุดในโลกคือ มีแต่สะพาน ไม่มีทางขึ้นทางลง
๒,๐๐๐ ล.วางท่อน้ำดิบ
“วันนี้มอเตอร์เวย์เปรียบเหมือนแม่น้ำสายใหญ่ ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่อีกเส้นหนึ่งจากมิตรภาพเข้าสู่โคราช ฉะนั้นการคมนาคมในโคราชต้องเตรียมความพร้อม เมื่อมอเตอร์เวย์เปิด แม่น้ำสายใหญ่จากกรุงเทพฯ ไหลมาแล้ว ถ้าเราไม่ทำการคมนาคมในโคราชให้ดี ปิดจุดทางแยก ทำสะพานลอย ทำวงแหวนให้เสร็จ การจราจรในโคราชจะวุ่นวายแน่นอน โดยเฉพาะในเขตเทศบาล เราต้องทำการคมนาคมในเมืองโคราชให้ดีที่สุด ให้ทันสมัยที่สุด เพื่อรองรับมอเตอร์เวย์ด้วย ฉะนั้นอึดใจอีกนิดเดียว เช่นเดียวกับน้ำต้องไม่ท่วมต้องไม่แล้ง ซึ่งท่านสุวัจน์พูดแล้วท่อน้ำดิบที่เดินจากลำตะคองมาถึงโรงกรองน้ำที่มะขามเฒ่า ปัจจุบันเสื่อมโทรมไปมากเพราะผ่านมา ๓๐ กว่าปีแล้ว เดินมาตามมิตรภาพมีทั้งแตกทั้งหักมีทั้งน้ำไหลหายไป ต้องใช้งบประมาณกว่า ๒,๐๐๐ ล้าน เพื่อจะวางท่อน้ำดิบจากลำตะคองวิ่งตามคลองชลประทานมาถึงโรงกรองน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำรั่วไหล และได้จำนวนน้ำประปาเพียงพอ ในฐานะที่ผมเป็นรองประธานกรรมาธิการงบประมาณ รวมทั้งส.ส.วัชรพลต้องไปช่วยกันให้ข้อมูลในการประชุมกรรมาธิการว่าทำไมจะต้องขออนุมัติ ๒ พันล้านสำหรับโครงการวางท่อน้ำดิบจากลำตะคองเข้าสู่โคราช ซึ่งครม.อนุมัติในหลักการแล้ว ส่วนโครงการก่อสร้างทางลอด ๒ แห่งใช้เงินประมาณเกือบ ๒,๐๐๐ ล้าน จะใช้เวลาสร้างประมาณ ๓๖ เดือน จะต้องทนรถติดไปประมาณเกือบ ๓ ปี แต่หลังจากนั้นทุกอย่างจะดีขึ้น” นายเทวัญ กล่าว
“นายวัชรพล โตมรศักดิ์” หรือพี่โต ส.ส.นครราชสีมา เขต ๒
ต่อสู้เพื่อโคราชทุกลมหายใจ
ต่อมา ส.ส.หนึ่งเดียวในโคราชของพรรคชาติพัฒนา “นายวัชรพล โตมรศักดิ์” หรือพี่โต ส.ส.นครราชสีมา เขต ๒ ขึ้นปราศรัยว่า “หลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ เมื่อผมทราบข่าวว่า ทั้งประเทศไทยเหลือผมเพียงคนเดียว คนที่โทรให้กำลังใจผมคือท่านสุวัจน์ ท่านไม่โกรธท่านไม่ว่าคนโคราช ผมอยากจะขอบคุณพี่น้องชาวเขต ๒ ให้กำลังใจผม เดินไปทุกที่เพราะใจรัก อยากสร้างพรรคบ้านเราพรรคชาติพัฒนา ท่านสุวัจน์ท่านเทวัญบอกว่าคุณเป็นคนเดียวก็ทำหน้าที่ของคนโคราชทั้งจังหวัด ท่านเทวัญให้ผมไปเป็นวิปรัฐบาลให้ผมเป็นกรรมาธิการ ๒ คณะ มากไปกว่านั้น ไปเป็นกรรมาธิการงบประมาณ ๔ ปีติดกัน อะไรที่เป็นประโยชน์โคราช แต่สิ่งหนึ่งที่ผมทำมาตลอดเวลาผมอภิปรายในสภาทุกลมหายใจผมจะต่อสู้เพื่อพี่น้องชาวโคราช ท่านไปเปิดดูได้ว่าใครพูดมากที่สุด นำปัญหาพี่น้องประชาชนมาพูดมากที่สุด ก็นายวัชรพลจากชาติพัฒนา ผมต่อสู้หลายเรื่อง วันนี้ก็เลยจะหยิบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาให้ท่านได้เห็นว่าถ้าวันนี้มีนายวัชรพล โคราชทั้ง ๑๖ เขตโคราชไปไกลกว่านี้แล้ว”
“เรื่องรถไฟผ่าเมือง รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มีระยะทาง ๒๕๐.๗๗ กิโลเมตร ปัญหาที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครราชสีมา ชาวบ้านใหม่และโคกกรวดลุกขึ้นมาต่อสู้คือสัญญาที่ ๓-๕ จากโคกกรวดมาในเขตอำเภอเมือง มีที่ไหนไปยกระดับคันดินสูง ๕ เมตร ยาว ๗.๘๕๐ กม. ทำให้ชุมชนโคกกรวดบ้านใหม่ที่เป็นชุมชนเมืองกลายเป็นเมืองอกแตก ผมร่วมกับพี่น้องชาวบ้านใหม่ร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา ยื่นหนังสือไปในทุกแห่ง และสุดท้ายได้เวลาในการยื่นกระทู้สดในการสอบถามรัฐมนตรี สู้มา ๓-๔ ปี วันนี้ข่าวดีออกแล้วว่า ขณะนี้อธิบดีกรมราง ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงบอกว่าแบบก่อสร้างจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเงินงบประมาณ เพื่อที่จะทำหนังสือไปที่ ครม. ในการจะให้อนุมัติการก่อสร้าง เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ถ้าเราไม่ต่อสู้ปัญหาก็จะเหมือนกุดจิก วันนี้คนกุดจิกออกมาเรียกร้อง นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราเป็นปากเป็นเสียงให้กับชาวโคราชและเราทำในฐานะที่เป็น ส.ส.ของโคราช”
นายวัชรพล กล่าวอีกว่า “ถ้าเคยเห็นผมพูดในสภา ผมไม่เคยบอกว่านายวัชรพล โตมรศักดิ์ เป็น ส.ส.เขตไหน แต่ผมจะพูดว่า กราบเรียนท่านประธานสภาที่เคารพ กระผมวัชรพล โตมรศักดิ์ โคราชชาติพัฒนา พอตอนหลังมาเปลี่ยนชื่อผมก็เพิ่มสร้อยเข้าไปหน่อย ผมวัชรพล โตมรศักดิ์ โคราชชาติพัฒนากล้า”
เดินหน้าทำเพื่อโคราช
“ผมได้คุยกับท่านนายกเทศมนตรี ท่านประเสริฐ บุญชัยสุข คือเรือนจำนครราชสีมามีอายุเก่าแก่ ๗๐ กว่าปีแล้ว ตอนสถานการณ์โควิดมีคนติด ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ คนเพราะแออัด ผมต้องบอกว่าพื้นที่ ๓๘ ไร่แปลงนี้ ทำไมเราไม่ย้ายออกไปข้างนอก แล้วเอาเรือนจำนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นปอดของคนโคราช”
นอกจากนี้ นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ยังกล่าวถึงโครงการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอด ๒ แห่งที่แยกประโดกกับแยกเทอร์มินอล ๒๑ โคราช ซึ่งมีการอภิปรายในสภาและสู้มาโดยตลอดว่า “อุโมงค์เทอร์มินอลมาก่อน ๒๐ ปีที่แล้ว แต่เสียดายอย่างเดียวมีประชาชนบางส่วนกลัวว่าจะเกิดผลกระทบ ทำให้งบประมาณถูกโยกไปที่ขอนแก่น แต่ท้ายสุด ผมขอบคุณพี่น้อง ๒ เส้นทางที่ก่อสร้างอุโมงค์ที่เราทุกคนยอมรับในความเจริญเติบโตของเมืองโคราช ถ้าอุโมงค์ตัวนี้ไม่ก่อสร้าง มอเตอร์เวย์สาย ๖ เสร็จ มีการทำทางเชื่อมจากมอเตอร์เวย์สาย ๖ ข้ามฝั่งมาโรงเรียนสุรนารี ๒ ถ้าเกิดรถติดตรงแยกพีกาซัสก็วิบัติ จะเกิดปัญหา ชาวโคราชจะเดือดร้อน วันนี้มีข่าวดีอุโมงค์ ๒ แห่งนี้ได้รับงบประมาณเรียบร้อยแล้ว จะก่อสร้างในเดือนกรกฎาคมนี้ นี่คือสิ่งที่ผมเอามาเพียงเล็กน้อยให้ชาวโคราชได้รู้ว่า ส.ส.เขตคนเดียวกับปาร์ตี้ลิสต์ ๒ คนของชาติพัฒนาทำได้ เราไม่แตกแยก เราไม่แบ่งพวก เรามีอย่างเดียวคือ เราอยากจะเดินหน้าต่อไปเพื่อชาวโคราช”
แชมป์ด้านกีฬา
ทั้งนี้ ในส่วนของงานด้านกีฬา นายวัชรพลกล่าวว่า “ได้รับมอบหมายจากท่านสุวัจน์ให้ไปดูแลฟุตบอลสวาทแคท ผมทำ ๔ ปี ตามที่รับปากกับท่าน สุดท้ายพี่น้องชาวโคราชให้การสนับสนุน สวาทแคทได้ขึ้นไทยลีก วันนี้ก็แค่อยู่ท้ายตารางเฉยๆ อีกไม่กี่วันก็จะขยับๆๆๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ด้านวอลเลย์บอลร่วมกับทางจังหวัดร่วมกับกองทัพ ได้ ๒ แชมป์ ทีมหญิงเราแพ้มาตลอด ลุ่มๆ ดอนๆ ทีมชายไม่แพ้ใครเลย ๑๗ นัดเป็นแชมป์ไร้พ่าย สร้างสถิติใหม่ และเป็นแชมป์ ๘ สมัย ส่วนทีมหญิงเป็นแชมป์สมัยที่ ๕ นี่แหละชาติพัฒนากล้า เราไปค่อยๆ พอถึงเวลาเข้าวิน ๑๖ คนเลย”
รักเดียวใจเดียว
ท้ายสุด นายวัชรพล โตมรศักดิ์ กล่าวว่า “มีหลายพรรคการเมืองมาติดต่อมาดึงผม ผมขอบคุณ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมฟังจากปากท่านสุวัจน์ ผมได้มีโอกาสไปคุยส่วนตัวกับท่าน ท่านบอก ‘โตคุณรู้ไหม น้าชาติฝากพรรคนี้เอาไว้กับผม ผมจะไม่ยอมให้มันจบที่ผม’ แล้วผมก็พูดกับพี่น้องทุกคนครับ ถ้าเรามีส.ส .ยกตัวอย่าง ท่านเทวัญไปทำฟุตบอล ผมไปทำวอลเลย์บอล อีกคนไปทำตะกร้อ อีกคนไปทำบาสเกตบอล เหมือนในเฟซบุ๊กที่มีคนเขียนมา ถ้า ส.ส.โคราชมี ๑๔ คน ช่วยกันทำกีฬาคนละประเภท ไม่ต้องไปล่านโยบายอะไรมากมาย เพราะฉะนั้นโคราชเราจะประสบความสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจำสมัยน้าชาติได้ไหม คนเข้าเมืองมาซื้อรถ มาซื้อทอง มาซื้อทีวี แต่หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พรรคนั้น ๓ คน พรรคนี้ ๔ คน พรรคนั้น ๕ คน มีใครพูดถึงโคราชเท่าพรรคชาติพัฒนากล้าไหม ผมกราบขอกำลังใจทุกท่าน ผมเดินลงไปในพื้นที่ ‘พี่โตกระแสพรรคอื่นเขาดีนะ แต่กระแสพี่โตไม่ต้องห่วง’ ถ้าทุกคนช่วยกัน เราคิดถึงบ้านเมืองเรา ใครจะรักบ้านเราเท่าชาติพัฒนากล้า การเมืองท่านต้องการคนที่อยู่ข้างกายท่าน ต้องการนักการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่แตกแยก ถ้าเรายังเหมือนเดิมย่ำอยู่กับที่ วันนี้เลือกพรรคนี้ วันดีคืนดี ส.ส.ก็ย้ายพรรคกลับไปทางนั้นไปทางนี้ แล้วคนอย่างผมรักเดียวใจเดียว ไม่รักหรือครับ”
นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๘ ฉบับที่ ๒๗๕๑ วันที่ ๑๕ เดือนมีนาคม - วันที่ ๑๔ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
99 1,673