29thMarch

29thMarch

29thMarch

 

May 24,2023

ชาติพัฒนากล้า’ไม่มีปัญหา เป็นฝ่ายค้าน-รัฐบาลก็ได้ มี ๒ เสียงไม่มีสิทธิต่อรอง

“สุวัจน์” ยืนยันตั้งแต่ต้นเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ได้ “ก้าวไกล” มาเชิญไปร่วมรัฐบาลก็ตอบรับในหลักการ เมื่อขอยุติก็ไม่มีปัญหา มีแค่ ๒ เสียงต่อรองไม่ได้อยู่แล้ว เผยการเลือกตั้งครั้งนี้ทุกพรรคได้ประสบการณ์ใหม่

วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่สำนักงานใหญ่ของพรรคที่จังหวัดนครราชสีมา กรณีที่พรรคก้าวไกลเชิญไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลแต่ภายหลังพรรคก้าวไกลมีการออกแถลงการณ์ขอยุติ ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ มีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ เลขาธิการพรรคฯ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายประสาท ตันประเสริฐ ว่าที่ส.ส.นครสวรรค์ เขต ๖ และนายวัชรพล โตมรศักดิ์ รองหัวหน้าพรรคฯ เข้าร่วมด้วย

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กล่าวว่า สืบเนื่องจากว่า มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคที่ชนะที่ ๑ คือพรรคก้าวไกล ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคชาติพัฒนากล้าได้เก้าอี้ส.ส. ๒ ที่นั่ง คือนพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และนายประสาท ตันประเสริฐ นครสวรรค์ เขต ๖ พรรคฯ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล และหลังจากนั้นก็มี ๘ พรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล ๓๑๓ เสียง ซึ่งเข้าใจว่าการจะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีต้องมี ๓๗๕ เสียง ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงติดต่อมาที่พรรคชาติพัฒนากล้า

“สำหรับพรรคชาติพัฒนากล้า ผมเคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านั้นว่า จะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ได้ เพราะมี ๒ เสียง เพียงแต่อยากเห็นการเมืองที่เรียบร้อย ให้มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ หลังจากนั้นในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤษภาคมพรรคก้าวไกลจึงติดต่อมาที่พรรคฯ ว่า ขอเรียนเชิญพรรคฯ เข้าร่วมรัฐบาล เพราะว่ายังได้เสียงไม่เพียงพอ พรรคฯ ไม่ได้เป็นฝ่ายไปติดต่อใครทั้งสิ้น เราอยู่เฉยๆ แต่เราได้เคยพูดไปแล้วก่อนหน้านั้นว่า อยากเห็นการเมืองมีเสถียรภาพ อยากเห็นรัฐบาลเสียงข้างมากไม่ใช่เสียงข้างน้อย อยากเห็นการยึดถือประเพณีว่าเมื่อพรรคใดชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง จะต้องเป็นคนริเริ่มจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น เมื่อพรรคก้าวไกลติดต่อมาก็พิจารณาด้วยเหตุผลว่า ๑.พรรคก้าวไกลได้อันดับหนึ่ง ๒.เขารวมกันได้เสียงข้างมากแล้ว ๘ พรรค ๓๑๓ เสียง ๓.ถือว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพแล้ว ฉะนั้น จึงอยู่ในองค์ประกอบที่พรรคชาติพัฒนากล้าคุยกันเสมอว่า การเมืองควรจะเป็นอย่างนี้ ดังนั้น เมื่อมีการมาเชิญพรรคฯ เราก็ตอบรับคำเชิญในหลักการ เพราะการเชิญพรรคฯ เข้าร่วมครั้งนี้ เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะทุกครั้งที่มีการเจรจาร่วมรัฐบาลไม่มีการเซ็น MOU ครั้งนี้ถือว่าเป็นมิติใหม่ในการจัดตั้งรัฐบาล จึงมีกรอบ MOU ที่ทุกพรรคจะต้องศึกษาว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร และควรจะมีการแก้ไขอย่างไร”  

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า

นายสุวัจน์ กล่าวต่อไปว่า ฉะนั้นเมื่อพรรคก้าวไกลเชิญมา พรรคฯ ก็ตอบรับในหลักการ ๓-๔ ข้อที่กล่าวไป เพื่อสนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ จึงตอบรับในหลักการ แต่ต้องมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคฯ เพราะพรรคฯ ต้องไปลงนามใน MOU จึงนัดประชุมคณะกรรมการฯ ในวันจันทร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เพื่อที่จะพูดคุยกันว่าจะร่วมหรือไม่ และมีรายละเอียดอย่างไร จะแก้ไขอะไรบ้าง รัฐธรรมนูญจะแก้ไขอย่างไร รวมทั้งมาตรา ๑๑๒ ซึ่งพรรคฯ ก็พูดในเวทีดีเบตค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการให้มาตรา ๑๑๒ คงไว้”  

“ต่อมาเมื่อพรรคก้าวไกลแถลงเพิ่มเติมว่าจะยุติการเจรจาการเข้าร่วมรัฐบาล และแจ้งมา ทางเราก็ No Problem ไม่ได้มีปัญหา เพราะว่าอยู่ระหว่างขั้นตอนที่จะพิจารณาตอบรับคำเชิญอย่างเป็นทางการ เพราะต้องมีการเซ็น MOU นี่คือกระบวนการทั้งหมด”
 
ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวอีกว่า “ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณก้าวไกลที่เชิญพรรคชาติพัฒนากล้าไปร่วมรัฐบาล ซึ่งเราก็สนับสนุนในแนวทางนี้อยู่แล้ว คือ พรรคที่ได้อันดับหนึ่งต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ยังมาเชิญพรรคฯ ไปร่วม ทั้งๆ ที่เรามี ๒ เสียง ซึ่งในทางการเมืองเมื่อมี ๒ เสียงไม่ใช่จะไปต่อรองใดๆ ได้เลย แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อให้การเมืองไปข้างหน้า สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ผมพูดอยู่เสมอว่า การเมืองต้องหันหน้าเข้าหากัน ต้องลดความขัดแย้ง ต้องพูดคุยกันได้ ซึ่งพรรคฯ ก็มีแนวปฏิบัติในทางนี้มาตลอด เราไม่เคยสร้างปัญหา เรามีหน้าที่แก้ปัญหา ดังนั้น เมื่อมีการยุติการเจรจาแล้ว พรรคฯ จึงไม่ต้องมีการประชุมคณะกรรมการบริหารฯ แล้ว พรรคฯ ก็ไม่มีปัญหา ยังเป็นมิตรสหายที่อยู่ในสภากันได้ ส่วนการจะโหวตสนับสนุนนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นจะต้องมีการประชุมกันก่อน ซึ่งพรรคฯ ก็ทำตามกติกามาตลอด”

นายประสาท ตันประเสริฐ - นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ - นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล

นายสุวัจน์ย้ำว่า พรรคชาติพัฒนากล้าไม่ได้เป็นคนไปติดต่อ แต่พรรคก้าวไกลอยากให้ไปช่วยเพราะเสียงไม่พอ ก็รับคำเชิญด้วยหลักการ แต่เมื่อขอยุติพรรคฯ ก็ไม่มีปัญหา

“หลังเลือกตั้ง เราไม่ได้ตามที่คาดหวัง เรากะจะได้ ๒๕ ที่นั่ง ก็ไม้ได้ ได้เพียง ๒ เสียง ได้ปาร์ตี้ลิสต์จากโคราชไป ๑ คน ส่วนในระบบเขตที่นครราชสีมาไม่ได้ก็ไปได้นครสวรรค์ ๑ ที่นั่ง คราวที่แล้วได้ ๓ ครั้งนี้ได้ ๒ เลือกตั้งเสร็จทุกคนก็เพลีย ไม่ได้เจอหน้ากัน หัวหน้าพรรคฯ ก็ไปเที่ยวออสเตรเลีย ผมก็โทรคุยและแจ้งว่ามีการเชิญจากพรรคก้าวไกล แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ ให้ประสบการณ์ใหม่กับทุกพรรคการเมืองว่า วันนี้ถ้าจะชนะเลือกตั้งอะไรคือคำตอบ” นายสุวัจน์ กล่าว

อนึ่ง การเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖ พรรคชาติพัฒนากล้าส่งผู้สมัครครบทั้ง ๑๖ เขตในจังหวัดนครราชสีมา โดยตั้งเป้าหมายว่า ในส่วนของเขตเลือกตั้งที่ ๑-๔ ส่งผู้สมัครที่มีประสบการณ์และทำงานในพื้นที่มาตลอด และจะต้องได้รับการเลือกตั้ง จึงลงพื้นที่หาเสียงอย่างหนัก ได้แก่ เขต ๑ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ส.ส. ๔ สมัย และเลขาธิการพรรคฯ เขต ๒ นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ส.ส. ๓ สมัย ซึ่งเมื่อสมัยที่แล้วได้รับเลือกตั้งเพียงคนเดียว เขต ๓ นายสมศักดิ์ กาญจนวัฒนา หรือกำนันเบ้า และเขต ๔ นายสมบัติ กาญจนวัฒนา อดีตประธานสภา อบจ.นครราชสีมา แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ในเขต ๑-๓ พ่ายแพ้กระแสของพรรคก้าวไกล และเขต ๔ พ่ายแพ้ให้กับ ผู้สมัครหน้าใหม่จากพรรคเพื่อไทย

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๘ ฉบับที่ ๒๗๕๓ ประจำวันที่ ๑๕ พฤษภาคม - ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖


970 1599